องค์การอนามัยโลก เผยแพร่ประเด็นการรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2566 ว่า “grow food, not tobacco” หรือ “เราต้องการอาหาร ไม่ใช่ยาสูบ” เพื่อสื่อให้เห็นว่าการทำไร่ยาสูบเป็นภัยต่อสุขภาพของประชาคมโลกและตัวเกษตรกรผู้ปลูกเอง อีกทั้ง ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก เพราะการเอาพื้นที่ไปปลูกยาสูบทำให้เสียพื้นที่ในการปลูกพืชที่นำมารับประทานได้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลทุกประเทศยุติการทำไร่ยาสูบและสนับสนุนให้เกษตรกรยาสูบหันไปทำอาชีพอื่นแทน
ยาสูบถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกกันกว่า 4 ล้านเฮกตาร์ (250 ล้านไร่) ในกว่า 125 ประเทศทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยด้วย ซึ่งการปลูกยาสูบ 1.3 แสนไร่
ในประเทศไทยนั้นถือเป็นพืชที่ได้รับการควบคุม มีพื้นที่ปลูกที่ชัดเจน มีการควบคุมการใช้ปุ๋ยและสารเคมีอย่างเข้มงวด มีระบบกำหนดโควตาเพื่อควบคุมราคาและปริมาณการรับซื้อ การปลูกยาสูบจึงถือเป็นอาชีพเสริมหลังการทำนาที่ช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชาวไร่ชาวนามากว่า 70 ปี
การรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โดยพุ่งเป้าไปที่การประกอบอาชีพของชาวไร่ยาสูบเพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่เป็นธรรมนักและไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย อีกทั้งยังไม่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาความอันตรายที่แท้จริงของบุหรี่ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่ามิติสุขภาพเพียงมิติเดียว
แม้ความเข้าใจผิดดังกล่าวจะมีความสอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวไร่ยาสูบในประเทศเรา ตามที่ได้เห็นได้ยินตามพื้นที่ข่าวว่าชาวไร่ยาสูบไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมยาสูบต่างๆ ของรัฐบาลเช่นการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลที่ผ่านมาและผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ใช้โอกาสนี้ในการแก้ไขปัญหาให้ชาวไร่ยาสูบและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ให้กับสังคมไทยเท่าที่ควร
ในทางตรงกันข้าม ธีมรณรงค์วันงดสูบบุหรี่ของประเทศไทยหยิบยกเรื่องการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งกำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากแบบไร้การควบคุม โดยประเทศไทยกำหนดประเด็นว่า “บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษ เสพติด อันตราย” หากดูตัวเลขสถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ จะพบว่าในปี 2560 ประชากรอายุ
15 ปีขึ้นไป มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ที่ 0.13% และเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 0.8% ในปี 2564 ทั้งๆ ที่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2558 แต่พบว่าการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าตลอด 8 ปีที่ผ่านมาได้ผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าเติบโตในตลาดใต้ดินและออนไลน์จนควบคุมไม่ได้
แม้เราไม่สามารถชี้ชัดไปได้ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมาจากเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ราคาบุหรี่ที่แพงขึ้นมาก หรือเป็นเพียงความอยากรู้อยากทดลองของผู้ใช้ แต่ที่สามารถกล่าวได้เต็มปากคือการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าเช่นปัจจุบันนี้ไม่สามารถหยุดการใช้ในเด็กและเยาวชนได้จริง และยังไม่ช่วยให้อันตรายของบุหรี่และจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยลดลงไปได้เลย เพราะยังมีผู้สูบบุหรี่อยู่เกือบถึง 10 ล้านคน หรือคิดเป็น 17.4% ของจำนวนประชากรไทย
การรณรงค์งดสูบบุหรี่และการแก้ปัญหาอันตรายของการสูบบุหรี่ที่แท้จริงจึงไม่ควรเบี่ยงเบนเป้าหมายไปที่ใบยาสูบ ชาวไร่ยาสูบ หรือนวัตกรรมที่จะมาช่วยลดอันตรายจากการสูบบุหรี่ได้ แต่คือการลดอันตรายจากการสูบบุหรี่ให้กับผู้บริโภคและลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทย เราจึงจำเป็นต้อง “กลัดกระดุม” ให้ถูกต้องเสียตั้งแต่แรก และมองหาหลักฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่เพื่อนำมาช่วยแก้ปัญหา
หากใครจะถือเอาวันงดสูบบุหรี่โลกปี 2566 เป็นวันที่จะเริ่มต้นเลิกสูบบุหรี่เพื่อดูแลสุขภาพของตนเองให้ได้มีโอกาสอยู่กับคนที่รักไปอีกนานๆ เพราะบุหรี่และยาสูบทุกชนิดต่างก็มีอันตรายต่อสุขภาพแม้ว่าจะมีระดับความอันตรายที่แตกต่างกันก็ตาม ดังนั้น การเลิกให้ได้อย่างเด็ดขาดเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าสนับสนุนอย่างยิ่ง
และจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากขึ้นไปอีกหากการรณรงค์งดสูบบุหรี่โลกปีนี้ ซึ่งเป็นปีครบรอบ 20 ปีของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) และกำลังจะมีการจัดประชุมครั้งที่ 10 ของประเทศภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาฯ ในเดือนพฤศจิกายน ณ ประเทศปานามาด้วยนั้น รัฐบาลใหม่ที่มาพร้อมกับแนวคิดที่ก้าวหน้าจะได้ใช้โอกาสนี้ทบทวนความสำเร็จและความล้มเหลวที่ผ่านมาในเรื่องการรณรงค์งดสูบบุหรี่ของไทยและกำหนดท่าทีของประเทศไทยที่เป็นกลางสะท้อนความเป็นจริงในสังคมให้มากขึ้น
โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดหรือลดพิษภัยของบุหรี่ ลดอันตรายให้กับผู้สูบบุหรี่ที่ยังเลิกไม่ได้และคนที่ในสังคมที่ได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่ รวมทั้งป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนอย่างเข้มงวดโดยคำนึงทุกมิติทั้งเรื่องสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และไม่ปล่อยให้คนเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมากำหนดนโยบายจนกลายเป็นการสร้างผลกระทบให้กับเกษตรกรชาวไร่ที่เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมยาสูบอย่างเช่นที่เคยเป็นมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี