“การแก้ไขปัญหาโรคอ้วนในเด็ก วันนี้สถานการณ์ไม่ได้ลดลงเลย จำเป็นที่ภาครัฐต้องลุกมาปกป้องเด็ก รวมถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพอยู่ในท้องตลาดมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้มีบทบาทหลัก ควบคุม ดูแลกฎหมาย และมีคณะกรรมการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก (คตอด.) มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน”
พญ.สายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวในเวทีประชาพิจารณ์ “(ร่าง) พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก” เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเนื้อหาสาระประกอบด้วย4 หมวด 42 มาตรา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีจากการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล และโซเดียม ที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ประสงค์ให้ผู้ประกอบการปรับปรุงสูตร ลด หวาน มัน เค็ม เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กน้อยลง โดยไม่ได้ห้ามการขายอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การบริจาคหรือการทำ CSR ของผู้ประกอบการ ยังสามารถทำได้ตามมาตรา 20 ไม่ได้ห้าม แต่ไม่ให้แสดงโลโก้ ขณะที่ในบทกำหนดโทษ จะมีเฉพาะโทษทางแพ่ง ไม่มีโทษทางอาญา ให้มีโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ขณะที่ นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย ในฐานะประธานกระบวนการรับฟังความคิดเห็น กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาภาวะอ้วนในเด็กมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ โดย 2 ทศวรรษที่ผ่านมาเด็กไทยอ้วนเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ทั้งเด็กเล็ก เด็กวัยเรียน และเด็กวัยรุ่น ซึ่งประเทศไทยยังขาดมาตรการสำคัญในการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก โดย (ร่าง) พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ฉบับนี้ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ในการพัฒนา
ภายในงานมีการแสดงความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน โดยมีทั้ง “ฝั่งที่สนับสนุนอย่างเต็มที่” อาทิ ผู้แทนจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้ ด้วยจะทำให้เห็นฉากทัศน์ของอุตสาหกรรมอาหารไทย มีการปรับสูตรหันผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีปริมาณ ไขมัน น้ำตาล โซเดียมต่ำเช่นเดียวกับ ผู้แทนเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สนับสนุนการมีกฎหมายฉบับนี้ พร้อมเสนอให้มาตรา 5 เรื่องคณะกรรมการควบคุม ให้มีองค์ประกอบผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ด้วย
ขณะที่ มาตรา 16 ที่ห้ามผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก หรือตัวแทนจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานศึกษา ยืนยันว่า อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งผ่านเกณฑ์ไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ควรทำการสื่อสารทางการตลาดในโรงเรียน ไม่ว่าช่องทางใด รวมถึงการรับบริจาคในลักษณะตอบแทนด้วย อีกทั้ง มาตรา 3 ในกฎหมาย ควรใช้คำว่า การสื่อสารทางการตลาด แทนคำว่า การตลาด
รวมถึง ผู้แทนเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเสนอให้มีการจัดทำฉลากอาหารที่เข้าใจง่ายภายใน 10 วินาที โดยเฉพาะอาหารที่มีความเสี่ยงควรมีสัญลักษณ์คำเตือน อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง เกลือสูง เนื่องจากการที่เด็กติดเค็ม ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ยิ่งบริโภคขนมเยอะจะทำให้เด็กกินผักและผลไม้ได้น้อยลง และเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นติดเค็ม ติดหวาน
แต่อีกด้านหนึ่ง “ฝ่ายที่แสดงความกังวล” อาทิ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย แม้จะเห็นด้วยกับการปกป้องเด็ก แต่การห้ามโฆษณาทุกช่องทาง ที่ระบุในกฎหมายอาจกระทบผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ซึ่งภาคเอกชนอยากเห็นความชัดเจน และรายละเอียดของกฎหมายลูก เช่นเดียวกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่แม้จะเห็นด้วยกับการที่ภาครัฐจะควบคุมการตลาดอาหารที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก แต่ก็กังวลเรื่องกฎหมายลูก การตีความกฎหมายที่กว้างเกินไป การใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยตั้งเป็นคำถามอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสมกับเด็กคืออะไร
และ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอให้มีการบังคับใช้กฎหมาย หรือบูรณาการการใช้กฎหมายที่มีอยู่ก่อนจะออกกฎหมายฉบับใหม่ๆ ออกมา พร้อมกับเสนอมีผู้แทนภาคเอกชนเข้าเป็นกรรมการด้วย นอกจากนั้น ยังมีผู้แทนจากศูนย์กฎหมาย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ด้านหนึ่งเห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้แต่ก็อยากให้มีความชัดเจน มีการวิเคราะห์สภาพปัญหา และความจำเป็นที่ภาครัฐจะเข้าไปแทรกแซงการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะให้มีการรายงานการวิเคราะห์ผล
กระทบต่อกฎหมายด้วย
ที่สำคัญแก้ไข นิยาม การตลาด เป็นการสื่อสารการตลาด เพื่อให้ครอบคลุมรวมถึงการทำการตลาดออนไลน์เชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีความชัดเจนขึ้น!!!!
SCOOP@NAEWNA.COM