“วิริยังค์ เราเดินธุดงค์ไปอยู่ทางภาคเหนือ 12 ปี ภาคเหนือนี้มีบรรยากาศดีมากๆ มีป่าไม้ร่มรื่น มีถ้ำสวยงาม มีภูเขาเป็นเทือกยาว และยังมีธารน้ำตกตามไหล่เขามากมาย เป็นที่สัปปายะดีมากๆ เหมาะในการไปพักปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะที่ดอยอินทนนท์ สงบร่มรื่นดีมาก ท่านควรหาเวลาไปเดินธุดงค์ทางภาคเหนือบ้างนะ” นี่คือเนื้อหาส่วนหนึ่งที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้พูดกับสมเด็จพระญาณวชิโรดม (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เมื่อครั้งเป็นพระอุปัฏฐากรับใช้องค์หลวงปู่มั่นถึง 4 ปี
เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้อีกทอดหนึ่ง โดยพระราชปัญญาวชิโรดม (สุพล ขนฺติพโล) เจ้าคณะอำเภอจอมทอง (ธ.) และ เจ้าอาวาส วัดเทพเจติยาจารย์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเคยเป็นพระเลขานุการของเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม หรือ พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เมื่อครั้งมีโอกาสอุปัฏฐากรับใช้องค์ท่านที่วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยบันทึกไว้ในหนังสือ “วันอนัตตบูชา” สวดลักขีบวชชี ปีที่ 1 ทำดีบูชา วันคล้ายวันพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม ณ วัดเทพเจติยาจารย์ เชิงดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ทำแจกให้กับผู้มาร่วมงานและลงทะเบียนอย่างเป็นทางการกับทางวัดเทพเจติยาจารย์
พระราชปัญญาวชิโรดมยังได้บันทึกไว้ด้วยว่า ในเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช 2498 พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร หรือ เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระได้เดินทางมาธุดงค์ทางภาคเหนือ ได้แวะพักปฏิบัติธรรมแต่ละแห่งๆเรื่อยมา ในที่สุดก็มาถึง เชิงดอยอินทนนท์ บริเวณใกล้น้ำตกแม่กลาง บ้านแม่หอย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
ท่านได้ปักกลดทำสมาธิอยู่ 1 สัปดาห์ ขณะนั่งสมาธิในค่ำคืนวันหนึ่งเกิดนิมิตขึ้นมีทั้งภาพ และ มีเสียงพูดว่า “ต่อไปกาลข้างหน้า ที่นี้จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของคนทั่วโลก โดยเฉพาะการปฏิบัติสมาธิ และ การปฏิบัติธุดงค์ที่ยิ่งใหญ่ จะมีคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษาในโลก จะพากันมาปฏิบัติธรรม ให้เตรียมสถานที่ไว้ เพื่อรองรับให้ดีเถิด”
ในนิมิตครั้งนั้น ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อฯได้เล่าต่อไปว่า ท่านได้เห็นผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งมาจากทุกสารทิศทั่วโลกมาทำสมาธิที่ดอยอินทนนท์และต่างคนต่างมีความสุขใจ ที่ได้มาทำสมาธิด้วยกัน ดังนั้น สถานที่แห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของคนทั่วโลกอย่างแน่นอน
ในเช้าวันหนึ่งโยมแนว จิตธรม ได้มาถางป่าเพื่อทำไร่ ปลูกลำไย ลิ้นจี่ เป็นต้น ก็ได้มาพบท่านและโยมแนวก็ได้สอบถามท่านว่า “ท่านพระคุณเจ้า มาอยู่ที่นี้นานรึยัง ได้ฉันข้าวรึยัง”
พระอาจารย์หลวงพ่อฯก็ตอบว่า “อาตมามาอยู่ที่นี้ ก็หลายวันแล้ว ยังไม่ได้ฉันข้าวเลย”
โยมแนวก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ขอนิมนต์ท่านรอหน่อยนะ ผมจะไปนำอาหารมาถวายท่านครับ”
ครั้นโยมแนว นำอาหารมาถวายแล้ว พระอาจารย์หลวงพ่อก็ฉัน หลังจากฉันเสร็จแล้วก็ได้สนทนากัน จนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว โยมแนวก็ปรารถว่า “ผมจะถวายที่ดินแปลงนี้ จำนวน 8 ไร่ ให้ท่านทำเป็นวัด ท่านจะรับไหม”
พระอาจารย์หลวงพ่อก็ตอบว่า “อาตมาขอรับไว้ก่อนนะ แต่จะไม่สร้างเป็นวัดในขณะนี้ อาตมาจะขอเดินธุดงค์ไปทั่วภาพเหนือก่อน แล้วจะย้อนกลับมาที่นี้อีก”
หลังจากนั้น ท่านก็ได้เดินธุดงค์ไปทั่วภาคเหนือตามความปรารถนา ครั้นแล้วพระอาจารย์หลวงพ่อฯก็ได้ย้อนกลับมาหาโยมแนว และ โยมทอง อีกหลายครั้ง ทุกครั้งที่มาหาก็ได้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์นั่งสมาธิ จนเกิดความมั่นใจในสถานที่แห่งนี้ จึงได้ปรารถกับโยมแนวว่า “หลวงพ่อจะสร้างวัดในที่ดินแปลงนี้อย่างแน่นอน”
โยมแนวและโยมทอง จิตธร ซึ่งเป็นสามีและภรรยากัน ครั้นได้ฟังพระอาจารย์หลวงพ่อฯพูดเช่นนั้น ต่างก็มีความปลื้มปีติเบิกบานใจ ได้กล่าวว่า สาธุๆ สามครั้ง อย่างมีความสุขใจ
ในปีพุทธศักราช 2513 พระอาจารย์หลวงพ่อฯ ก็ได้เดินทางมาเชียงใหม่อีกครั้ง เพื่อมาพบโยมแนว และ โยมทอง จิตธร ซึ่งทั้งสองก็มีศรัทธาเลื่อมใสได้ถวายที่ดินผืนแรกให้จำนวน 8 ไร่เศษ แด่พระอาจารย์หลวงพ่อฯ เพื่อดำเนินการสร้างวัดสืบต่อไป
หลังจากนั้น ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อฯก็ให้ความสำคัญในสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ท่านต้องการคือ ให้เป็นสถานที่ศึกษาธรรมะ ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพื่อให้พระภิกษุ และ สามเณร ได้เรียนรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม จึงได้สร้างเป็นวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน สาขาน้ำตกแม่กลาง อีกแห่งหนึ่งในทางภาคเหนือ เพื่อให้พระภิกษุและสามเณรทั่วสารทิศมาศึกษาเล่าเรียน ซึ่งก็ได้ดำเนินการเรื่อยมา โดยให้เรียนรู้ ทั้งปริยัติ และ ปฏิบัติควบคู่กันไป
พระราชปัญญาวชิโรดมยังบันทึกอีกว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2515 ท่านท้าวอินทร์สุริยา (เนื่อง จินตดุลย์) ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 และ นักบุญวัดพุทธมงคลนิมิต จ.นครสวรรค์ ได้มาพำนักที่วิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน สาขาน้ำตกแม่กลางแห่งนี้ เพื่อปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์หลวงพ่อ ครั้นแล้วก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใสได้บริจาคทรัพย์ เพื่อซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง ถวายแด่พระอาจารย์หลวงพ่อฯด้วย
ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2553 วิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน สาขาน้ำตกแม่กลางแห่งนี้ ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “วัด” ในบวรพระพุทธศาสนา พระอาจารย์หลวงพ่อฯจึงได้เมตตาให้ใช้ชื่อวัดตามสมณะศักดิ์ของท่านที่ชั้นเทพในขณะนั้น คือ “พระเทพเจติยาจารย์” เอาคำว่า พระ ออก จึงได้ชื่อเป็นมหามงคลนามตามสมณะศักดิ์ว่า “วัดเทพเจติยาจารย์”
สมเด็จพระญาณวชิโรดมได้สั่งไว้ว่า “ให้ดูแลรักษา และสืบสาน การปฏิบัติธรรมแบบสุขา ปฏิปทา ขิปปา ภิญญา คือ ปฏิบัติธรรมแบบพอดีๆ ไม่ตึง ไม่หย่อน ใครๆก็ปฏิบัติได้ ก็รู้ธรรมได้เช่นกัน”
ปัจจุบัน “วัดเทพเจติยาจารย์” ยังเป็น “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” สาขา 3 ทำหน้าที่เผยแพร่งานสมาธิทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นภายใต้หลักสูตรครูสมาธิ และ ยังเป็นสถานที่สอบภาคปฏิบัติของครูสมาธิทั่วโลก ทั้งในไทย และ ต่างประเทศ อาทิ แคนาดา , ออรเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งที่วัดเทพเจติยาจารย์ยังมีหมู่บ้านสมาธิที่เปิดให้เข้าพักฟรี สำหรับผู้สนใจมาปฏิบัติธรรมรักษาศีลในสถานที่สัปปายะ และ รองรับโครงการปฏิบัติธรรมทุกเดือนภายใต้หลักสูตร “สมาธิสัญจร” 3 วัน 2 คืน ด้วยการเดินตามปฏิปทาของสมเด็จพระญาณวชิโรดม ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในพระพุทธศาสนาของโลก โดยองค์ท่านเป็นผู้ก่อตั้ง “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” (Willpower Institute) กว่า 300 สาขา อันเป็นสถาบันสำคัญในการเผยแพร่งาน “สมาธิ” ให้ได้รับการปฏิบัติทั้งในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญงาน “สมาธิ” ยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสันติภาพโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี