“ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” เป็นกฎหมายการจัดเก็บรายได้โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ประกาศใช้ในปี 2562 แทนที่การจัดเก็บภาษีแบบเดิมคือ “ภาษี
โรงเรือนและที่ดิน” ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2475 โดยคาดหวังว่าจะทำให้ อปท. จัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น รวมถึงสร้างความเป็นธรรม-ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะประเด็น “ที่ดินรกร้างว่างเปล่า” จากการถูกซื้อกักตุนไว้เพื่อเก็งกำไรที่จะต้องถูกเก็บภาษีแพงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อการเก็บภาษีแบบใหม่ถูกใช้กันจริงๆ ก็มีคำถามตามมาว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้หรือไม่ ดังเมื่อเร็วๆ นี้ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จัดเสวนาหัวข้อ “ชำแหละกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและผลกระทบต่อรายได้ท้องถิ่น” โดยมี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มาบอกเล่าประสบการณ์ของ กทม. ว่ามีข้อค้นพบอย่างไรบ้าง
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ภาษีที่ กทม. เก็บได้เองมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่คือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีข้อดี 1.จัดเก็บได้มากขึ้น น่าจะได้มากกว่าสมัยที่ยังเป็นภาษีโรงเรือน 2.ใช้ดุลพินิจน้อยลง เพราะในยุคที่เก็บภาษีโรงเรือนนั้นประเมินจากรายได้ซึ่งเอื้อให้เกิดความไม่โปร่งใสจากการประเมินภาษี และ 3.เกิดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ ไม่ปล่อยรกร้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ยังไม่อยากใช้ประโยชน์จากที่ดิน หรือยังไม่อยากขายที่ดินเพราะจะเก็บไว้ให้ลูกหลาน ก็จะต้องเสียภาษีส่วนนี้มากขึ้น
แต่มีข้อสังเกต 1.แม้การจัดเก็บจากบางแหล่งจะได้เพิ่มขึ้น แต่บางแหล่งก็ได้น้อยลง โดยแหล่งที่ได้เพิ่มขึ้นคือที่ดินรกร้างว่างแปล่า แต่แหล่งที่ได้น้อยลงคืออาคารให้เช่าเพื่อการอยู่อาศัย ดังตัวอย่างในเขตบางกอกน้อย ซึ่งมีอาคารแบ่งเป็นห้องพักให้เช่าจำนวนมาก ในยุคที่ยังเก็บแบบภาษีโรงเรือนโดยประเมินจากรายได้ (เช่น ค่าเช่า) จะเก็บภาษีได้มากกว่าในยุคที่เปลี่ยนมาเก็บแบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ประเมินจากประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทั้งที่รายได้ของเจ้าของอาคารไม่ได้ลดลงไปจากเดิมเลยก็ตาม
2.การประเมินเกณฑ์ราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดิน ส่งผลให้ที่ดินขนาดใหญ่บางแปลงมีมูลค่าการประเมินราคาทุนทรัพย์ลดลง ในความเข้าใจโดยทั่วไปที่ดินมีแต่จะราคาเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยเกณฑ์ใหม่ที่ถูกออกมาแบบแปลกๆ ทำให้ที่ดินแปลงใหญ่ดูเหมือนได้รับการช่วยเหลือให้เสียภาษีน้อยลง โดยในอดีตมีการแบ่งระดับการเก็บภาษีลดหลั่นจากมากไปน้อย เช่น ส่วนที่อยู่ติดถนนสายหลักก็จะเสียภาษีในอัตราสูงที่สุด โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ แต่เกณฑ์ใหม่ที่ออกมานั้นแบ่งมากถึง 7 ระดับ ในขณะที่ที่ดินแปลงเล็กๆ ที่อยู่ติดกันแต่ไม่มีการซอยแบ่งนั้นเสียภาษีเพิ่มขึ้น
“ที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลงที่ควรจะเก็บ ก็เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่างมีที่ดินประมาณ 20 ไร่ ปี 2565ราคาประเมินเฉลี่ยทั้งแปลง ตารางวาละ 150,000 บาท พอปี 2566 เหลือแค่ 110,000 บาทเอง ทั้งที่ที่ดินอย่างนี้มันควรจะทำมาหากินได้เยอะ มันทำให้เราเก็บรายได้ลดลง ฉะนั้นภาษีลดลงไป 5 ล้านบาท จาก 15 ล้านบาท เหลือ 10 ล้านบาททั้งที่มันควรจะเพิ่มขึ้น” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยกตัวอย่าง
3.ราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างบางรายการอาจไม่ครอบคลุมทำให้ไม่สามารถประเมินภาษีได้ เช่น ส่วนควบอาคาร เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในอดีตเคยเก็บภาษีจากส่วนนี้ได้ แต่เกณฑ์ใหม่ถือว่าเป็นอาคารไม่มีมูลค่าจึงไม่ต้องเสียภาษี 4.การประเมินที่ดินบางประเภทส่งผลให้ประชาชนเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจนเกิดเผลเสียกับเมือง อาทิ ที่เขตมีนบุรี เขตคลองสามวา มีการขุดดินไปขาย เกิดเป็นบึงหรือบ่อน้ำขนาดใหญ่ ในอดีตภาษีโรงเรือนไม่เก็บจากบึงหรือบ่อเหล่านี้เพราะถือว่าไม่มีรายได้ แต่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นเก็บทั้งหมด
นั่นหมายถึงมีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตเจ้าของที่ดินที่มีบ่อหรือบึงน้ำอาจถมที่ดินแล้วนำไปทำอย่างอื่นกันหมด เช่น ก่อสร้างที่อยู่อาศัย ส่งผลให้พื้นที่ซับน้ำในเมืองลดลง ขณะที่การยกบ่อหรือบึงดังกล่าวให้ กทม. ดูแลก็อาจไม่ได้ประโยชน์มากนัก หากบ่อหรือบึงนั้นไม่เชื่อมต่อกับระบบคลอง 5.เกิด “เกษตรจำแลง” เพื่อเลี่ยงภาษี ประเภทปลูกกล้วยในที่ดินกลางเมือง เรื่องนี้เป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ที่ผู้ออกแบบมีเจตนาดีต้องการช่วยเกษตรกรให้เสียภาษีในอัตราไม่สูง แต่ก็มีเจ้าของที่ดินที่ใช้วิธีทำเกษตรเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอัตราที่ดินรกร้างที่สูงกว่า
“มีกำหนดอยู่ว่าต้องปลูกกี่ต้น ระยะห่างเท่าไร ถ้ามันเข้าเกณฑ์ กทม. ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเราทำก็ถือว่าเราผิดเพราะมันเป็นกฎที่กระทรวงการคลังประกาศออกมา อันนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่เราจะเห็นเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่กลางเมืองแถวๆ รัชดา ที่ปลูกกล้วยแล้วก็ไม่รู้ขายได้จริงหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ก็เยอะขึ้น แต่เราก็บอกว่าถ้าอยากจะทำจริงๆ ไม่เป็นไรหรอก คุณให้เราไปใช้เป็นสวนสาธารณะ 7 ปี อันนี้มันยกภาษีให้ได้ ไม่ต้องไปลงทุนปลูกกล้วยหรอก 7 ปีถ้าเราทำพื้นที่สีเขียว เรามีกรรมการพิจารณาก็สามารถยกภาษีได้
แต่อันนี้เราพยายามขอไป อย่างน้อยเราเอาผังเมืองไปกำกับได้ไหม? ว่าถ้าเป็นเกษตรที่อยู่ในผังเมืองสีแดง (ที่ดินพาณิชยกรรม) เราเก็บภาษีเพิ่มได้ไหม? ในกฎหมายไม่ได้บอกไว้แล้วเราใช้อำนาจท้องถิ่นได้ไหม? เพราะผังเมืองมันจะบอกว่าช่วงนี้เป็นพาณิชยกรรม FAR (อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน) สูงเลย 1 ต่อ 10 แต่คุณยังมาปลูกกล้วยอยู่ในผังเมืองสีแดงมันแปลกไหม? ถ้าคุณไปทำเกษตรในผังเมืองสีเขียว (ที่ดินชนบทและเกษตรกรรม) ก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ก็ตามหลักการใช้งาน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงแนวคิดการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกรอบผังเมือง ว่า แม้จะเสนอแนะไปที่กระทรวงการคลังแล้ว แต่ได้รับคำตอบกลับมาว่าไม่สามารถทำได้เพราะขัดต่อหลักความเท่าเทียมกัน โดยสรุปคือ “ท้องถิ่นไม่มีอำนาจตัดสินใจมากนัก” แม้ท้องถิ่นจะเชื่อว่าหากผูกการเก็บภาษีกับผังเมืองได้จะทำให้เก็บภาษีได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้นก็ตาม
และ 6.นโยบายลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้ท้องถิ่นจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง รัฐบาลกลางต้องการทำนโยบายแจกของขวัญให้ประชาชน แต่ผลกระทบตกอยู่กับอปท. อย่างในช่วง 2 ปีล่าสุด กทม. ขาดรายได้ไปประมาณ 25,000 ล้านบาท อีกทั้งทำให้การบริหารงบประมาณของท้องถิ่นทำได้ยากขึ้นด้วย ซึ่ง อปท. อื่นๆ น่าจะได้รับผลกระทบหนักกว่า กทม. เพราะ กทม. ยังมีรายได้จากภาษีอื่นๆ อีกหลายรูปแบบ
“ก็มีข้อดี ไม่ใช่ไม่มีข้อดีเลย คือเพิ่มความโปร่งใส ลดการใช้วิจารณญาณลง เราเก็บได้เพิ่มขึ้นนะไม่ได้เก็บได้น้อยลง มีการเอาพื้นที่ว่างเปล่ามาทำประโยชน์ให้มากขึ้น แต่คำว่าเก็บได้มากขึ้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน ปัญหาคือที่มากขึ้นที่มาจากใคร กลายเป็นว่าคนทั่วไปที่มีทรัพย์สินอาจต้องจ่ายมากขึ้น คนที่มีรายได้จากเดิมจ่ายเยอะอาจจ่ายน้อยลง ก็ต้องถามว่ากฎหมายนี้ที่ตั้งใจว่าจะลดความเหลื่อมล้ำมันลดได้จริงไหม?” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ฝากทิ้งท้าย
ด้าน โอฬาร อัศวพลังกูล ผู้อำนวยการกองรายได้ สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ในปี 2566 กทม. แจ้งการประเมินภาษีอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านราย เป็นยอดค่าภาษีในระบบราว 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งอุปสรรคของการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในส่วนของ กทม. คือ 1.ไม่มีฐานข้อมูล ซึ่ง กทม. เพิ่งจะมีฐานข้อมูลประเมินภาษีในปี 2566 โดยได้รับข้อมูลจากกรมที่ดิน แต่ก็ต้องฝากทางกรมที่ดินช่วยปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่ง กทม. กับกรมที่ดินต้องหารือกันเพื่อเตรียมตัวจัดเก็บภาษีในปีต่อไป เพื่อลดปัญหาข้อโต้แย้งจากประชาชน
2.อัตรากำลัง ใน 50 สำนักงานเขตของ กทม. มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้อยู่ประมาณ 14-15 คน เนื้อที่รับผิดชอบแต่ละคนอยู่ที่ 600 ไร่ ในแนวราบ ยังไม่รวมแนวดิ่ง ซึ่งในความเป็นจริง การสำรวจที่ดินทุกแปลง-สิ่งก่อสร้างทุกหลังทำได้ลำบาก และ 3.ขาดความรู้ในเชิงกฎหมาย บางเรื่องท้องถิ่นยังไม่เข้าใจ เช่น บ้านหลังหลัก เดิมหากที่ดินมีสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านหลังหลักเพียงหลังเดียวจะได้รับยกเว้นกรณีไม่เกิน 50 ล้านบาท ต่อมาพ่อแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งให้ลูก ซึ่งท้องถิ่นประเมินภาษีในฐานะบ้านหลังรอง แต่ส่วนกลางชี้ว่าไม่สามารถเก็บได้เพราะต้องนับรวมเป็นก้อนเดียวกัน
“ปีที่แล้วในส่ววนี้ กทม. จัดเก็บ ผมมั่นใจ ปีนี้ระบบกำหนดห้ามจัดเก็บเนื่องจากต้องดำเนินการตามกฎหมาย ก็มีหลายๆ เขตไม่เข้าใจว่าเดิมทีเขาประเมินได้ทำไมปีนี้ประเมินไม่ได้ ก็คงต้องประสานไปทางหน่วยงานต้นทางด้วย เพราะปีนี้อาจจะมีประชาชนน่าจะร้องเรียนไปทางท่านเยอะพอสมควร” ผอ.กองรายได้ สำนักการคลัง กทม. กล่าว
(อ่านต่อฉบับวันที่ 2 ก.ค. 2566)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี