“นักวิจัยไทย” มีชื่อเสียงด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆในทุกด้าน โดยเฉพาะนวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ไทยอาจต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนมากขึ้น จากเดิมที่ชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องของงานวิจัยและนวัตกรรม โดยเน้นไปที่ความเฉพาะด้านและเจาะลึกลงไปในภาคเกษตรกรรมมากขึ้น ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ เฉกเช่น “เกาหลีใต้” ที่มุ่งมั่นทุ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคอุตสาหกรรม
“เกาหลีใต้” ประเทศตัวอย่างทุ่มงบวิจัยและพัฒนา
“เกาหลีใต้” เป็นหนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการทุ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ทั้ง “แอลจี” และ “ซัมซุง” ต่างก็กันงบเพื่อการวิจัยและพัฒนา เพราะเกาหลีใต้ทราบดีว่าพื้นฐานการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้งบการวิจัยและพัฒนาเข้าไปวางรากฐานในระดับการศึกษาตั้งแต่อนุบาลขึ้นมาจนถึงระดับมัธยมศึกษา
ในปี 2565 ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ของเกาหลีใต้ วางงบประมาณมูลค่า 3.6 ล้านล้านวอน ส่เพื่อใช้ในการหาผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ และ เพื่อสำหรับผู้ฝึกอบรมคนรุ่นใหม่ รวมทั้งทุ่มงบประมาณ 68.9 ล้านล้านวอน เพื่อวางรากฐานตั้งแต่ให้ชาวเกาหลีใต้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา และ มัธยมศึกษา ส่วนอีก 12.2 ล้านล้านวอน ใช้สำหรับยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการศึกษาตลอดชีวิตในปี 2566 ที่ผ่านมา เพราะประเทศเกาหลีใต้นั้นมีรายได้หลักมาจากภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จึงต้องวางรากฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างมั่นคง โดยวางตั้งแต่ระดับอนุบาลจนมาถึงตอนโต
ด้วยเป้าหมายการพัฒนาประเทศของ“เกาหลีใต้” ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้เกาหลีใต้ติดอันดับหนึ่งใน 5 ประเทศที่มีการใช้งบเพื่อการวิจัยและพัฒนามากที่สุด ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development : OECD) พบว่าในปี 2562 หรือ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยมีงบสำหรับการวิจัยและพัฒนาทั้งของภาครัฐ และภาคเอกชนรวมกันอยู่ที่ 89.05 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.9% ของปี 2561 และ คิดเป็นร้อยละ 4.64 ของรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP)
ไทยยังขาดความต่อเนื่องด้านการให้เงินทุนวิจัย
ขณะที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีในการทุ่มงบเพื่อการวิจัยและพัฒนา แต่ประเทศไทยต่างกับประเทศเกาหลีใต้ตรงที่ ประเทศไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม ส่วนเกาหลีใต้เป็นเมืองอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นผลงานวิจัยในปลายน้ำของไทยจึงมีการค้นคว้าวิจัยและต่อยอดนวัตกรรมที่เชื่อมโยงด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็ยังพบว่า ในส่วนของต้นน้ำ คือ ด้านการศึกษาของประเทศ เยาวชนไทยกลับให้ความสำคัญกับการศึกษาด้านเกษตรกรรมน้อยลง และ ไม่เห็นคุณค่าของภาคเกษตรกรรม ทั้งที่ภาคเกษตรกรรมมีผลต่อรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ จีดีพี (GDP)
เพราะฉะนั้นการวางรากฐานการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆมีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม จึงมีความจำเป็น รวมไปถึงการสนับสนุนด้านงบประมาณการวิจัยและนวัตกรรมที่ต่อยอดงานเกษตรกรรมในทุกๆด้าน ยังคงเป็นหัวใจสำหรับการขับเคลื่อนงานวิจัย
ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ไบโอเทค ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ปัจจุบันทางหน่วยงานมีอุปสรรคเรื่องเงินทุนวิจัยที่ไม่ต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับงานวิจัยของประเทศในแถบยุโรปพบว่า งานวิจัยมีความต่อเนื่องเรื่องงบการวิจัย ไม่ต้องมาทำเรื่องขอปีต่อปี
“ในประเทศไทย นักวิจัยส่วนใหญ่ยังต้องทำเรื่องของบในการวิจัยปีต่อปี ทำให้เกิดความสะดุดในโครงการวิจัย ทั้งที่งานวิจัยสาหร่ายเซลล์เดียว เราทำมานานก่อนประเทศอื่น ซึ่งวันนี้เราพบว่า ต่างประเทศได้อ้างงานวิจัยสาหร่ายเซลล์เดียวมาแข่งกับนักวิจัยไทย โดยอาศัยว่ามีฐานงบการสนับสนุนจากภาครัฐที่ต่อเนื่องในประเทศของเขาไปอ้างกับประเทศที่ซื้องานวิจัยของไทย” ดร.วรรณวิมล กล่าว
นักวิจัยไทยซุ่มศึกษาเรื่องกุ้งมานานกว่า 20 ปี พบสาหร่ายเซลล์เดียวลดปัญหาโรคไวรัสกุ้งได้ดี
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมหิดล และไบโอเทค สวทช. ร่วมกันสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงกุ้งเศรษฐกิจ เกิดเป็น “หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง (Centex Shrimp)” เพื่อพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องโรคกุ้งและโรคในสัตว์น้ำชนิดอื่น โดยปัจจุบันมีงานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียว ที่มีการดัดแปลงพันธุกรรมของสาหร่ายเซลล์เดียวให้สามารถสร้างชีวโมเลกุลอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านโรคอย่างมีประสิทธิภาพและจำเพาะเจาะจง
รวมถึงมีคุณลักษณะในการสังเคราะห์อาหารด้วยแสงเป็นตัวคัดเลือกสาหร่ายที่ได้รับการดัดแปลง แทนที่จะใช้ยีนต้านยาปฏิชีวนะอย่างในระบบการดัดแปลงพันธุกรรมดั้งเดิมที่ใช้กันซึ่งสร้างความกังวลแก่การนำไปใช้จริง โดยสาหร่ายเซลล์เดียวนี้ทำให้การใช้จุลชีพดัดแปลงในอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งมีความเป็นไปได้มากขึ้น เนื่องจากการระบาดของโรคไวรัสยังเกิดขึ้นต่อเนื่องและยังไม่มีเทคโนโลยีชีวภาพใดช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับฟาร์ม โดยสารชีวโมเลกุลที่ทีมได้วิจัยขึ้นพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งโรคไวรัส ได้แก่ อาร์เอ็นเอสายคู่ที่จำเพาะต่อสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งจะยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสผ่านกระบวนการอาร์เอ็นเออินเตอร์เฟียแรนซ์ สามารถนำส่งสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงทางการกิน ทำให้เกิดความสะดวกในการนำส่งอาร์เอ็นเอสายคู่ ทำให้สัตว์น้ำได้รับสารอาหารเพิ่มเติมจากสารชีวโมเลกุลที่มีอยู่แล้วด้วย
ผลวิจัยดังกล่าวพบว่า สามารถป้องกันการตายของกุ้งจากโรคตัวแดงดวงขาวได้ถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ได้กินสาหร่ายสายพันธุ์ดั้งเดิมที่อัตราตายเกือบร้อยละ 100นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยซื้อเวลาให้กับเกษตรกรในการกอบกู้สถานการณ์ แก้ไขปัญหาหน้าฟาร์ม เพื่อลดความรุนแรงของโรคไวรัส และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
“เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียว ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การใช้เพื่อผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ แต่ยังขยายผลใช้ผลิตสารชีวโมเลกุลชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น โปรตีนเพื่อพัฒนาเป็นซับยูนิตวัคซีนแบบกิน โปรตีนที่ช่วยเพิ่มการเติบโตของสัตว์น้ำ และเปบไทด์สายสั้นที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีฤทธิ์ทางชีวภาพ เพื่อเป็นอาหารเสริมฟังก์ชั่นให้แก่สัตว์น้ำ โดยนอกจากผงสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงที่พัฒนาขึ้น ทีมวิจัยยังมีระบบการผลิตสารชีวโมเลกุลที่พร้อมให้ประยุกต์ใช้เพื่อผลิตสารชีวโมเลกุลตามโจทย์ความต้องการเกษตรกรในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในประเทศไทยและศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลก โดยในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาของทีมวิจัยมีผลดีในด้านเศรษฐกิจที่มีการนำผลงานวิจัยและองค์ความรู้ไปใช้ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยง โดยมีเอกชนด้านอาหารและเวชภัณฑ์นำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในด้านสังคมเกิดการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในกลุ่มเกษตรผู้เพาะเลี้ยง และในด้านวิชาการมีการต่อยอดผลงานวิจัยจากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยมีจำนวนอ้างอิงผลงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทีมนักวิจัยหวังว่า วันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียวจะเป็นกลไกหนึ่งที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฟาร์ม ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำการส่งออกสัตว์น้ำได้อีกครั้ง” ดร.วรรณวิมล กล่าว
โรคตัวแดงดวงขาวในกุ้ง ไวรัสกุ้งที่ทำให้เกษตรกรถอดใจ
โรคไวรัสในกุ้งทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในไทยต้องเลิกกิจการไปจำนวนมาก เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรงในกุ้ง เปรียบเสมือนคนติดเชื้อไวรัสนั่นเอง ซึ่งในส่วนของโรคไวรัสในกุ้ง ทำให้ปัจจุบันเกิดภาวะเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งมีจำนวนลดลง เพราะพบปัญหาเรื่องโรคในกุ้งจนไม่สามารถจะฝ่าอุปสรรคตรงนี้ไปได้ ทำให้รายได้ที่ประเทศจะได้จากเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก็ลดลงด้วย เพราะหากกุ้งมีคุณภาพไม่ดี ก็จะส่งผลต่อกุ้งในตลาดส่งออกตามมาเช่นกัน
สำหรับโรคตัวแดงดวงขาว (White Spot Disease: WSD) เป็นโรคที่ทำให้กุ้งตายอย่างรวดเร็วและจำนวนมาก โดยพบการระบาดของโรคดังกล่าวครั้งแรกในฟาร์มเลี้ยงกุ้ง Penaeus japonicus ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.2536 โดยเรียกไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคว่า penaeid rod-shape DNA virus (PRDV) หรือ rod-shraped nuclear virus of P. japonicus (RV-PJ)
ส่วนในประเทศไทยพบการระบาดตอนปลายปี พ.ศ. 2537 โดยเรียกโรคนี้ว่า systemic ectodermal and mesodermal baculovirus (SEMBV) ซึ่งพื้นที่ที่พบการติดเชื้อรุนแรง คือ ภาคตะวันออก ในจังหวัดจันทบุรี ตราด และ ภาคใต้ฝั่งตะวันออก จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัตตานี ขณะที่ภาคตะวันตก ในพื้นที่จังหวัดตรัง
ในส่วนอาการของโรค (Clinical sign) ในกุ้งที่ได้รับเชื้อไวรัสตัวแดงดวงขาว เชื้อจะเข้าทำลายระบบเนื้อเยื่อชั้นเอคโตเดิม (Ectoderm) และมีโซเดิม (Mesoderm) โดยจะพบการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่ออย่างชัดเจนบริเวณเนื้อเยื่อผิวใต้เปลือก เหงือก และ อวัยวะสร้างเม็ดเลือด (Lymphoid organ) โดยจะทำให้นิวเคลียสของเซลล์บวมโต บริเวณใต้เปลือกกุ้งตลอดทั้งตัวมีสีแดงเรือๆ ชมพูถึงเข้ม บางครั้งเป็นสีส้มและมีจุดขาวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.1-2 มิลลิเมตร
โดยเฉพาะบริเวณส่วนหัวและด้านข้างลำตัวส่วน ส่งผลให้บางครั้งกุ้งลอกคราบไม่ออกหรือลอกคราบแล้วเปลือกไม่แข็ง ทำให้เกิดการตายของกุ้งสูงถึงร้อยละ 80-100 ภายใน 4-5 วัน โดยกุ้งจะเกยขอบบ่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอัตราการกินอาหารที่ยังปกติ และลักษณะของกุ้งทีมาเกยขอบบ่อในระยะแรกจะมีอาการตัวแดง เปลือกนิ่มบาง โดยเฉพาะส่วนหัวและบริเวณสันหลังตลอดแนวลำตัวมีสีแดงก่อนส่วนอื่น ต่อมา 3-4 วัน จะพบกุ้งทีมีอาการตัวแดงในยอ โดยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นกุ้งจะเริ่มกินอาหารน้อยลง ซึ่งต่อมาอีก 5-7 วัน กุ้งจะตายอย่างรวดเร็วสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอย่างมาก
เพราะฉะนั้นงานวิจัยของนักวิจัยไทยมีบทบาทอย่างมากในการลดความสูญเสียด้านเศรษฐกิจการเกษตร และ มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้จีดีพีของประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะทำอย่างไรให้เกิดความต่อเนื่องของทุนวิจัย ทำให้นักวิจัยมีความสบายใจในเรื่องของงบการวิจัย และ สามารถทุ่มสรรพกำลังไปที่งานวิจัยโดยไม่ต้องพะวงกับการของทุนวิจัยปีต่อปี - 003
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
https://www.brandbuffet.in.th/2022/01/south-korea-transform-to-5th-largest-metaverse-country-by-2026/
https://www.eef.or.th/news-w3-6tr-in-early-education-funds-to-be-reallocated-for-semiconductor-training/
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.771753896258412.1073741832.678940168873119&type=3&_rdc=1&_rdr
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี