ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2566 นายวสันต์ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวเด็กชายวัย 8 เดือน หรือ “น้องต่อ” หายตัวไปจากบ้านพักในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2566 โดยมีการนำเสนอข่าวและสอบถามข้อมูลด้วยคำถามที่ไม่เหมาะสมและเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก และมารดาซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี รวมถึงครอบครัวและบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสู่สาธารณะ
โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับผลการตรวจสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) และเปิดเผยใบหน้า ซึ่งอาจกระทบต่อสิทธิเด็กอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ กสม. จึงมีมติในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2566 เห็นควรให้หยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นตรวจสอบซึ่งพิจารณาข้อเท็จจริง หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 4
และมาตรา 32 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 17 ประกอบกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ได้รับรองและคุ้มครองว่าการกระทำทั้งปวงที่เกี่ยวกับเด็กต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก และเด็กจะไม่ถูกกระทำโดยมิชอบต่อเกียรติและชื่อเสียงรวมถึงในความเป็นส่วนตัวและครอบครัว และห้ามมิให้เผยแพร่ทางสื่อซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครองโดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ
จากการตรวจสอบรับฟังได้ว่า กรณีเด็กชายรายดังกล่าวหายตัวไปจากบ้านพัก และเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ตรวจหาดีเอ็นเอของบุคคลที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวน ต่อมาปรากฏรายงานข่าวของสื่อต่างๆ กล่าวอ้างว่า ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าผลการตรวจดีเอ็นเอของเด็กตรงกับบุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดของครอบครัวและยังเปิดเผยรูปพรรณสัณฐานของบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นด้วย
และมีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวมารดาของเด็กส่งศาลเยาวชนและครอบครัว โดยเบื้องต้นได้แจ้งข้อหาความผิดทางอาญาหลายฐานนั้น กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในลักษณะดังกล่าวมีการเปิดเผยทั้งอัตลักษณ์ ข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะเกี่ยวกับผลการตรวจหาดีเอ็นเอของเด็กและมารดาซึ่งอายุต่ำกว่า 18 ปี อันเป็นการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกินกว่าความจำเป็นเพื่อกิจการสื่อมวลชนโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก และไม่เป็นไปตามจริยธรรมทางการประกอบวิชาชีพ
ส่งผลกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงของเด็กและครอบครัว สำหรับการเปิดเผยอัตลักษณ์ของมารดาเด็กซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาก็ถือว่าขัดต่อหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) โดยข้อมูลของบุคคลนั้นๆ จะยังอยู่ในระบบและสืบค้นทางอินเตอร์เนตได้ซึ่งนำไปสู่การตีตราอันกระทบต่อสิทธิที่จะถูกลืม (Rights to be Forgotten)
ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่าการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชนกรณีดังกล่าว เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเด็กอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัวซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม เมื่อปัจจุบันเป็นยุคแห่งการสื่อสารดิจิทัล ซึ่งทุกคนสามารถเป็นสื่อในโลกออนไลน์ได้แต่เฉพาะบุคคลที่ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่มีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็น โดยสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อกิจการสื่อมวลชนอันเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบอาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะ
ตามมาตรา 4 (3) พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ.2562 ได้ ดังนั้น องค์กรสื่อมวลชนจึงต้องร่วมมือกันเพื่อดำรงจริยธรรมแห่งวิชาชีพ โดยพึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอาชญากรรมที่อาจนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อยกระดับการใช้สิทธิและเสรีภาพในการสื่อสารของสังคมโดยรวมให้มีความรับผิดชอบร่วมกัน จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
(1) ให้สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติประสานกับผู้ให้บริการโปรแกรมการสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เนต ลบข่าวที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะผลการตรวจดีเอ็นเอของเด็กชายรายดังกล่าว และข่าวเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการแก้ไขเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น และให้มีนโยบายและแนวปฏิบัติการนำเสนอข่าวที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมกำชับให้สื่อในกำกับดูแลปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและขอความร่วมมือกับสื่อที่ไม่เป็นสมาชิกให้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลที่เป็นข่าวด้วย
(2) ให้สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกำชับการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์และวิทยุ ให้ระมัดระวังไม่นำเสนอข่าวที่เป็นการละเมิดสิทธิเด็กและสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียงและครอบครัวของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และให้แก้ไขเยียวยากรณีเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
และ (3) ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำชับบุคลากรในทุกระดับชั้นที่ปฏิบัติหน้าที่สอบสวนและสืบสวน เผยแพร่ข้อมูลรูปคดีเท่าที่จำเป็น และต้องพึงระมัดระวังการกระทบสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัวของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี