ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) วันที่ 28 ธ.ค. 2566 นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า กสม. ได้ติดตามและให้ข้อเสนอแนะต่อการพิจารณาและผลักดันร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายพ.ศ.2565 มาอย่างต่อเนื่อง ภายหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ซึ่งมีการดำเนินการที่สำคัญ เช่น คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านสิทธิมนุษยชน ด้านกฎหมาย ด้านนิติวิทยาศาสตร์ แพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ และแพทย์ทางจิตเวชศาสตร์ อีกทั้ง มีการจัดทำระเบียบเกี่ยวกับการควบคุมตัว การฝึกอบรมและการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ถอนคำแถลงตีความ (Interpretative Declaration) สำหรับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ซึ่งเดิมเคยจัดทำคำแถลงตีความไว้ในข้อบทที่ 1 (นิยามของคำว่าทรมาน) ข้อบทที่ 4 (การกำหนดให้การกระทำทรมานเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา รวมทั้งสำหรับการพยายามกระทำทรมาน การสมรู้ร่วมคิด หรือการมีส่วนร่วมในการทรมาน) และข้อบทที่ 5 (การกำหนดเขตอำนาจเหนือความผิดทั้งปวง) เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายกำหนดฐานความผิดและบทลงโทษการทรมานฯ เป็นการเฉพาะ
อย่างไรก็ดี เมื่อประเทศไทยมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 แล้ว จึงถือเป็นการตรากฎหมายเฉพาะเพื่อกำหนดมาตรการป้องกัน ปราบปรามเยียวยา ดำเนินคดี และลงโทษการทรมานฯ อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ประเทศไทยสามารถถอนคำแถลงดังกล่าว อันเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการปฏิบัติตามหลักการของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ซึ่งสหประชาชาติได้แจ้งเวียนตราสารดังกล่าวของไทยแล้ว และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2566
ทั้งนี้ พบว่าสถิติการรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมดตั้งแต่ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566-วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมาน การลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี จำนวน 51 รายการบังคับสูญหาย จำนวน 6 ราย แต่ยังไม่ปรากฏรายงานผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนและการฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งภาคประชาสังคมได้ออกมาแสดงข้อห่วงกังวลในประเด็นดังกล่าวด้วย
ขณะเดียวกัน กสม. เห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมิได้เข้าร่วมเป็นภาคีในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (Optional Protocol to the Convention against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment-OPCAT) ซึ่งได้กำหนดกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติไว้ (National Preventive Mechanism-NPM) ส่งผลให้ไทยยังขาดกลไกการเข้าตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัวอันสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุซ้อมทรมาน ซึ่งมักเกิดขึ้นในกระบวนการจับกุมตัวและการคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กสม. จึงขอเน้นย้ำให้รัฐบาลพิจารณาเข้าร่วมเป็นภาคีในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ หรือ OPCAT ตามที่ประเทศไทยได้เคยให้คำตอบรับและคำมั่นต่อนานาชาติไว้ โดย กสม. พร้อมเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตามกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติ หรือ NPM ที่เป็นกลางและเป็นอิสระ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายในการป้องกันและคลี่คลายปัญหาการซ้อมทรมานในประเทศให้ลดลง ทั้งนี้ ในด้านการดำเนินงานของ กสม. ทุกชุดที่ผ่านมา ล้วนให้ความสำคัญกับภารกิจการตรวจเยี่ยมสถานควบคุมตัวซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดยใช้มาตรฐานที่มีอยู่แล้วเช่น ข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) และข้อกำหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules) เป็นกรอบในการดำเนินการ ซึ่งปัจจุบัน กสม. อยู่ระหว่างจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อให้รัฐบาลเร่งเข้าเป็นภาคีพิธีสาร OPCAT และเตรียมความพร้อมที่จะยกระดับมาตรฐานการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานการทำหน้าที่กลไก NPM ตามพิธีสาร OPCAT โดยสำนักงาน กสม. ได้จัดตั้งกลุ่มงานตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวและการป้องกันการทรมานเป็นหน่วยเฉพาะเพื่อขับเคลื่อนงานต่อต้านการทรมาน
นอกจากนี้ กสม. ยังมีนโยบายสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการส่งเสริมการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ให้มีประสิทธิภาพ โดยได้ร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุดริเริ่มโครงการอบรมให้ความรู้แก่ตัวแทนภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงภายใต้การประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์พิเศษ เพื่อให้ประชาชนมีความตระหนัก มีส่วนร่วมเฝ้าระวังและแจ้งเหตุ
โดยสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานสำคัญตามกลไกของกฎหมายดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ สำนักงาน กสม. ยังได้ดำเนินโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือ มาตรฐาน และระบบการป้องกัน คุ้มครอง และเยียวยาตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ครอบคลุมใน 3 มิติ ได้แก่ การป้องกัน การคุ้มครอง และการเยียวยา ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี