“เด็กชายรามี่ เป็นเด็กชาวปาเลสไตน์เกิดในแผ่นดินสงครามและการทำลาย ชีวิตวัยหนุ่มไม่ทันได้ใช้ , ศรัทธาแห่งศาสนาอยู่เหนือความตาย แตกต่างไม่อาจร่วมแผ่นดินเดียวกันได้ จึงทำสงคราม แยกแผ่นดินปาเลสไตน์” บทเพลง “ด.ช.รามี่” ผลงานของศิลปินเพื่อชีวิต “พงษ์สิทธิ์ คำภีร์” บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเกิดมาเป็นชาวปาเลสไตน์แล้วต้องเผชิญกับความขัดแย้งกับชาวอิสราเอล
บทเพลงนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในปี 2544 ในอัลบั้มใต้ดวงตะวัน กระทั่งกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง กับเหตุการณ์ที่ “กลุ่มฮามาส” กองกำลังติดอาวุธยกพลข้ามแดนจากฝั่งปาเลสไตน์บุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ตามด้วยการตอบโต้อย่างรุนแรงของกองทัพอิสราเอล มีการปิดทางเข้า-ออก และระดมทิ้งระเบิดใส่พื้นที่ฉนวนกาซาของปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องบอกว่า ความขัดแย้ง “อิสราเอล-ปาเลสไตน์” หากมองตามประวัติศาสตร์โบราณอาจยาวนานนับพันปี แต่อย่างน้อยที่สุดที่ชัดเจนก็ยาวนานหลายสิบปีนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศอิสราเอลขึ้น
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมาคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดบรรยายเรื่อง “The Shifting Dynamics of the Israel-Palestine Conflict” โดยมีอาจารย์ประจำคณะที่เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง คือ แม็ทธิว ร็อบสัน (Matthew Robson) เป็นผู้บรรยาย และมี ผศ.ดร.วรรณภา ลีระศิริ หัวหน้าสำนักวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นล่ามแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
อาจารย์แมทธิว กล่าวว่า การโจมตีของกลุ่มฮามาสในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการส่งกองกำลังภาคพื้นดินข้ามพรมแดนเข้าไปในอิสราเอล อีกทั้งการโจมตียังไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้ผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกจับเป็นตัวประกันจำนวนมากเป็นพลเรือนไม่ใช่ทหาร ส่วนการจับตัวประกันก็เพื่อไว้ต่อรอง ซึ่งรวมถึงการขอแลกเปลี่ยนกับคนของฝ่ายตนที่ถูกจับกุมในอิสราเอลด้วย นอกจากนั้นก็เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจรจาสันติภาพขึ้นในอนาคต แต่หลังจากนั้นอิสราเอลก็ตอบโต้กลับอย่างรุนแรงโดยไม่เลือกเป้าหมายเช่นกัน
“ปกติแล้วหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลจัดเป็นหน่วยข่าวกรองที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่ว่าจะมีปฏิบัติการอะไรมักจะทราบได้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนยิงจรวดเข้ามาโจมตีในฝั่งอิสราเอลก็จะรู้ก่อน แต่ในครั้งนี้เป็นครั้งที่น่าประหลาดใจที่หน่วยข่าวกรองอิสราเอลไม่ทราบมาก่อนแล้วก็ทำให้เกิดการโจมตีที่ค่อนข้างรุนแรง” อาจารย์แมทธิว กล่าว
ในพื้นที่พิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ในส่วนของปาเลสไตน์มีดินแดน 2 แห่ง คือเวสต์แบงก์ (West Bank) ซึ่งอิสราเอลส่งทหารจำนวนมากเข้าไปควบคุม ขณะที่ฉนวนกาซา (Gaza Strip) อิสราเอลไม่ได้ส่งทหารเข้าไป แต่ใช้วิธีปิดล้อมและกดดัน โดยการเข้า-ออกจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากอิสราเอลแม้แต่ทางทะเล นั่นทำให้ชาวปาเลสไตน์จึงพยายามต่อสู้มาตลอดอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 2510 เป็นต้นมา
แต่ในทศวรรษ 1980 (ปี 2522-2532) เริ่มมีความเห็นในหมู่ชาวปาเลสไตน์ ว่าการใช้กำลังอาวุธ หรือการก่อวินาศกรรมต่างๆ เพื่อให้ชาวโลกหันมารับฟังปัญหาไม่ใช่วิธีที่ได้ผล จึงเริ่มหันไปใช้การเรียกร้องโดยสันติวิธีแทน กระทั่งล่าสุดได้หวนกลับไปใช้ความรุนแรงอีกครั้งเพราะสันติวิธีก็ไม่ได้ผล ด้วยแรงกดดันจากสภาพความเป็นอยู่อย่างยากจนแร้นแค้นของชาวปาเลสไตน์ทั้งที่เวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ถึงขนาดที่มีคำกล่าวว่า “สำหรับเด็กที่เติบโตมาที่นี่..มันไม่ต่างอะไรกับนรกบนดิน” นโยบายของอิสราเอลทำให้ชีวิตของชาวปาเลสไตน์ยากที่จะดีขึ้นได้
เมื่อดู “การเมืองภายใน” ของแต่ละฝั่ง ในดินแดนของปาเลสไตน์ยังมีผู้ปกครองที่แตกต่างกัน ขณะที่ฝั่งเวสต์แบงก์ปกครองโดยกลุ่มฟาตาห์ซึ่งเลือกใช้สันติวิธี แต่ฝั่งฉนวนกาซาปกครองโดยกลุ่มฮามาสซึ่งมีแนวคิดหัวรุนแรง ดังนั้นจึงยังไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำที่แท้จริงของปาเลสไตน์ เพราะทั้ง 2 กลุ่มต่างพยายามชิงกันแสดงบทบาทนั้น รวมถึงกรณีล่าสุดที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล
ในทางกลับกัน รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เททันยาฮู (Benjamin Netanyahu) ก็มีแนวคิดแบบ “สุดโต่ง” เช่นกัน อาทิ การสนับสนุนการขยายอาณาเขตของอิสราเอลเข้าไปพื้นที่ของปาเลสไตน์ การตั้งบุคคลที่มีแนวคิดหัวรุนแรงให้มีตำแหน่งสำคัญในงานด้านความมั่นคงซึ่งส่งผลกับการปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ แต่ก็มีข้อสังเกตว่านายกฯ เนทันยาฮู ซึ่งกำลังเผชิญกับการถูกตรวจสอบในข้อกล่าวหาต่างๆ เลือกใช้นโยบายสุดโต่งเพราะต้องเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมอกไปจากตนเองหรือไม่
“อีกอันหนึ่งที่อาจวิเคราะห์ได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกดำเนินนโยบายในลักษณะนี้ ก็อาจเป็นเพราะว่าตัวเนทันยาฮูเอง ต้องการที่จะใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายใต้โฮมหน้าของความรักชาติอะไรก็ตาม เพื่อที่จะดึงความสนใจจากตัวเขาที่กำลังตกอยู่ในการจับจ้องของประชาชนในเรื่องของการกระทำความผิดต่างๆ ของเขา กลับไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์”อาจารย์แมทธิว ระบุ
จากการเมืองภายในสู่ “การเมืองระดับภูมิภาค” ซึ่งระยะหลังๆ อิสราเอลพยายามกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอาหรับในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศที่ยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์แมทธิว อธิบายว่า ในตะวันออกกลางยังมีประเทศใหญ่อย่าง “อิหร่าน” เป็นอีกตัวแสดงหนึ่ง อิหร่านในอดีตเคยปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ต่อมาก็ถูกปฏิวัติโค่นล้มไป ทำให้บรรดาประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางที่ยังปกครองด้วยระบอบดังกล่าว หันไปดึงอิสราเอลที่ไม่ถูกกับอิหร่านอยู่แล้วมาคานอำนาจ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น สำหรับชาวปาเลสไตน์ย่อมรู้สึก “ทำไมทำกับชาวอาหรับด้วยกันแบบนี้?” ชาวปาเลสไตน์คาดหวังให้รัฐชาติต่างๆ ของอาหรับสนับสนุนแต่กลับถูกทอดทิ้ง ซึ่งนี่ก็อาจเป็นสาเหตุให้กลุ่มฮามาสตัดสินใจใช้ปฏิบัติการความรุนแรง เพื่อประกาศว่า “ไม่ว่าอิสราเอลจะสร้างสัมพันธ์กับอีกกี่ประเทศ แต่ ณ ตรงนี้ปาลสไตน์ยังยืนหยัดสู้” รวมถึงย้ำกับรัฐชาติอื่นๆ ว่าจะเพิกเฉยกับชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ไม่ได้
“อันนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญ ความรู้สึกที่ตัวเองถูกหักหลัง ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนไม่มีพันธมิตร เพราะฉะนั้นอำนาจการต่อรองมันก็น้อยลง ก็ต้องส่งเสียงให้ดังมากขึ้น กระตุ้นมากขึ้น เพราะเราต้องไม่ลืมว่าการใช้ความรุนแรงในลักษณะที่เราเรียกว่าเป็นการก่อการร้าย มันไม่ใช่การใช้ความรุนแรงเพื่อความรุนแรง แต่มันเป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง อันนั้นก็คือเป้าหมายของกลุ่มฮามาส”อาจารย์แมทธิว กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี