“คนจนยังมีอีกเยอะ ความลำบาก ความจนยังมีอีกเยอะคนที่ไม่มีอะไรเลยกับคนที่มีทุกอย่าง มันมีจริงตั้งแต่เด็กๆแล้ว ตั้งแต่แม่ไม่ให้เรียนหนังสือ ต้องไปเดินขายหมากฝรั่งขายลูกอมตามสีลม ตามผับ ตามบาร์ ทั้งๆ ที่เราก็คนเหมือนกัน ทำไมเราถึงไม่มีโอกาส ทำไม่ถึงไมได้รับโอกาสเหมือนกัน เขาได้เรียนกันสูงๆ แต่หนูต้องออกมาช่วยแม่ทุกอย่าง ย่านสำเพ็งไปถามเขาได้เลย สมัยหนูเล็กๆต้องไปขอสตางค์แถวนั้นตั้งแต่เด็กยันโต”
คำพูดและน้ำเสียงตัดพ้อของ “แพรว” หนึ่งในตัวอย่างของครัวเรือน “จนข้ามรุ่น” จากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก และปัจจุบันในรุ่นลูกของแพรว ก็ยังยากที่จะ “ตัดวงจรความจน” ไปได้ ซึ่งเรื่องราวของแพรวนั้นถูกค้นพบโดยมูลนิธิเอ.ที.ดี. เพื่อนผู้ยากไร้ (ATD Foundation) ที่ส่งอาสาสมัครเข้าไปทำงานกับครัวเรือนยากจนเมื่อกว่า 30 ปีก่อน และแม้อาสาสมัครท่านนั้นจะเสร็จสิ้นภารกิจไปแล้ว อาสาสมัครคนอื่นๆ จากรุ่นสู่รุ่น ก็รับอาสาติดตามความเป็นไปของครอบครัวนี้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ในงาน “โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ งานที่มีคุณค่าและการคุ้มครองทางสังคม ปฏิบัติการเพื่อศักดิ์ศรีสำหรับทุกคน” ซึ่งจัดที่ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เนื่องใน“วันสากลแห่งการขจัดความยากไร้” เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา คณะทำงานของมูลนิธิ เอ.ที.ดี. เพื่อนผู้ยากไร้ ได้นำบทสัมภาษณ์ข้างต้นของแพรว (ซึ่งได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องแล้ว และขอใช้นามสมมุติแทนเชื่อจริงของทุกคนในครอบครัวนี้) มานำเสนอเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานตระหนักว่า ยังมีครัวเรือนลักษณะนี้อยู่อีกมากมายในสังคมไทย
แพรวเกิดในครอบครัวที่มีลูก 4 คน และจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างกับครอบครัวอื่นๆ นั่นคือ “ความต้องการมีการศึกษาสูงๆ” แต่เส้นทางชีวิตของแพรว แม้ตอนแรกๆ จะได้ไปโรงเรียน แต่ในทุกวันหลังเลิกเรียนก็ต้องช่วยแม่ทำงานจนดึกดื่น ทำให้หลายครั้งต้องขาดเรียนในตอนเช้า และสุดท้ายก็ไม่ได้เรียนต่อ และเมื่อแพรวโตขึ้นเป็นแม่คน “ชะตากรรมแห่งความจน” ก็ถูกส่งผ่านไปยังลูกของเธอด้วย เพราะแม้จะมีหน่วยงานของรัฐสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาแต่ก็ไม่เพียงพอ ตราบใดที่ลูกยังต้องช่วยแม่ทำงานจนดึก และแม่ก็ต้องพึ่งพา “หนี้นอกระบบ” สำหรับต่อทุนหารายได้
“พอเราถามถึงแพรวว่าเขามองอนาคตของลูกอย่างไรเกี่ยวกับการศึกษา แพรวบอกว่ายินดีที่จะรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ถ้าสามารถทำให้ชีวิตของลูกเขาเปลี่ยนแปลงให้มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ให้มีชีวิตที่แตกต่างจากแม่ได้ เขาอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ ได้มีงานทำที่ดีๆ ตอนไปถามเขา เพราะเราศึกษาทั้งชีวิตของแพรวและลูกชาย ลูกชายของแพรวบอกว่าชอบการศึกษามาก อยากมีชีวิตที่ต่างไป ถ้าถามว่าอาชีพอยากทำอะไร เขาอยากเป็นทันตแพทย์ อยากเป็นนักแสดง เขารู้สึกว่าตัวเขามีความสามารถ ถ้าเขามีโอกาสได้เรียน” ตัวแทนมูลนิธิ เอ.ที.ดี. ที่มานำเสนอ กล่าว
องค์การสหประชาชาติ (UN) รับรองวันที่ 17 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสากลแห่งการขจัดความยากไร้(International Day for the Eradication of Poverty) ด้วยมติที่ 47/196 ของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2535 ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2530 มีผู้คนนับแสนไปรวมตัวกันที่ทรอกาเดโร (Trocadero) ในกรุงปารีสของฝรั่งเศส เป็นสถานที่ลงนามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในปี 2491เพื่อรำลึกถึงผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาความยากจน ความรุนแรงและความหิวโหย และย้ำว่าปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะที่ในประเทศไทย ณ ปี 2566 จำนวนครัวเรือนที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกับครัวเรือนของแพรว อาจอยู่ที่เกือบ 2 แสนครัวเรือน ตามนิยาม “คนจนเป้าหมาย” ที่ระบุในฐานข้อมูล ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ซึ่งจัดทำโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ระบุเกณฑ์วัดความจนจาก 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา ด้านรายได้ และด้านการเข้าถึงบริการของรัฐ
“คนจนเป้าหมาย” ในที่นี้ หมายถึง “คนจนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน” เนื่องจากเป็นคนที่ได้รับการสำรวจว่าจน ในการสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นข้อมูลที่ชี้มาตรฐานว่าอย่างน้อยที่สุดควรมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร หากครัวเรือนใดอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานนี้ถือว่ามีปัญหา และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องระดมสรรพกำลังเข้าไปให้ความช่วยเหลือ
เมื่อเน้นไปที่เรื่องการศึกษา ข้อมูลจากเว็บไซต์ dashboard.eef.or.th/cct ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า “มีเด็กถึง 8 แสนคนที่มาจากครอบครัวยากจนที่รายได้เฉลี่ยไม่ถึง 3,000 บาท/คน/เดือน” กลุ่มนี้คือ “เด็กนักเรียนยากจนพิเศษ” ที่มีความเสี่ยงและต้องช่วยเหลือเป็นพิเศษเพราะเด็กเหล่านี้อาจหลุดจากระบบการศึกษา ส่วนหนึ่งจากสาเหตุที่ต้องดูแลคนในครอบครัวและหารายได้เลี้ยงครอบครัว
ในงานโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ งานที่มีคุณค่าและการคุ้มครองทางสังคม ปฏิบัติการเพื่อศักดิ์ศรีสำหรับทุกคน มีการเผยแพร่สารจาก รศ.ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า หากใช้เกณฑ์วัดความยากจนแบบในอดีต ประเทศไทยจะมีคนจน 4.4 ล้านคนแต่เมื่อมีการพัฒนาตัวชี้วัดใหม่ๆ ในมิติที่หลากหลาย ทำให้พบว่า ปัจจุบันไทยมีคนจนอยู่ประมาณ 8.1 ล้านคน
“การวัดความยากจนในหลากหลายมิติ เราจำเป็นต้องศึกษาถึงความขาดแคลนของคนยากจนในประเทศไทย การเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงบริการจากภาครัฐด้วยเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2564 เรายังพบเด็กจำนวนมากมายที่ขาดการศึกษา ขาดการเข้าถึงระบบบริการต่างๆ จากภาครัฐ ยังมีความขัดสนยากจน และมีปัญหาอีกหลายประการ เรามีคนว่างงาน คนป่วยและคนชราเพิ่มมากขึ้น จาก 29% เป็น 51% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังพบว่า แรงงานต่างๆ ที่อยู่นอกระบบ ก็ยังมีความขัดสนยากจนและเปราะบาง” รศ.ดร.อัจฉรา กล่าว
อนึ่ง นอกหนือจากภาคประชาสังคม (NGO) และภาครัฐแล้ว “ภาคเอกชน-ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่คนยากไร้” ก็ต้อง “ตระหนัก” ถึงปัญหาความยากจนและเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไข โดย สรสิช สว่างศิลป์ อาจารย์คณะสังคมสงคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงแนวคิดที่ว่า “ธุรกิจจะเติบโตได้สังคมต้องแข็งแรง” เพราะสังคมคือคนทุกคนไม่ว่าจะถูกจัดเป็นชนชั้นใดก็ตาม ซึ่งเป็นทั้ง “ทรัพยากรมนุษย์-ผู้บริโภค” สำคัญกับการผลักดันธุรกิจ
“ถ้าเป็นชนชั้นกลางทำไมต้องสนใจคนจน? ส่วนตัวผมขออธิบายแบบนี้ แต่ละช่วงชั้นมันไม่ได้แยกกันอยู่ มันมีความสัมพันธ์กันทางสังคม ถ้าเกิดมันมีผลกระทบส่วนใดส่วนหนึ่งมันจะกระทบชิ่งไปสู่ส่วนอื่น มันจะลากกันไป คือทางสังคมมันจะกระทบกันในระยะยาว มันจะคล้ายๆ กับถ้าเรามองเรื่องการต่างประเทศ ทำไมเราต้องสนใจประเทศเพื่อนบ้าน? ทำไมต้องให้ความช่วยเหลือ? เพราะถ้าประเทศเพื่อนบ้านแข็งแรงไม่มีโรคภัย มีการพัฒนา มีคุณภาพชีวิตที่ดี มันก็จะลดปัญหา ยกตัวอย่างเช่น แรงงานข้ามชาติ”
อาจารย์สรสิช กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี