ผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล PISA 2022 กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นข้อกังวลในสังคม หลังจากที่พบว่า นักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์ 394 คะแนน วิทยาศาสตร์ 409 คะแนน และการอ่าน 379 คะแนน ซึ่งลดลงทุกด้านและต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ทิศทางของระบบการศึกษาไทยว่าควรจะไปต่ออย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวในเวทีเสวนา Exclusive Talk PISA 2022 และอนาคตทิศทางการศึกษาไทย Beyond 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ว่า กสศ. โดยสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ได้นำฐานข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development) หรือ OECD มาวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาการศึกษาและปฏิรูปในระยะยาว
ซึ่งผลการวิเคราะห์จากการสำรวจสอบถามนักเรียนไทยกว่า 8 พันคน พบว่า สมรรถนะต่ำกว่าระดับพื้นฐานหรือไม่ผ่านเกณฑ์ คือ Level 1 ด้านคณิตศาสตร์มีถึง 68.3% การอ่านไม่ผ่าน 65.4% และวิทยาศาสตร์ไม่ผ่าน 53% ขณะที่กลุ่มอัจฉริยะหรือสมรรถนะระดับสูง Level 5 และ 6 ด้านคณิตศาสตร์มีเพียง 1% การอ่าน 0.2% และวิทยาศาสตร์ 0.6%
“ผลการประเมิน PISA ค่อนข้างสวนทางกับที่เราส่งนักเรียนไปแข่งโอลิมปิกได้เหรียญทองกลับมา แต่จริงๆ PISA ก็เหมือนการแข่งกีฬา แต่โอลิมปิกเราส่งเด็กเก่งไปที่สู้กับใครในโลกก็ได้ แต่ PISA เป็นกีฬาที่ใหญ่มาก อย่างข้อมูลตรงนี้มาจาก 8 พันคน จึงสะท้อนภาพของความเหลื่อมล้ำ เรามีเด็กเก่งแค่ 1 ใน 100 แต่อีก 70 ไม่ผ่านเลย และถ้ากลุ่มตัวอย่างเป็นหมื่นเป็นแสนคน ก็จะมีเห็นสัดส่วนที่มากกว่านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วสัดส่วนเด็กเก่งกับไม่ผ่าน ไม่ควรจะห่างกันมากเกินไป เราต้องพยายามขยับสัดส่วนให้เข้าใกล้ค่าเฉลี่ยของ OECD” ดร.ไกรยส กล่าว
ส่วนเรื่องเศรษฐานะของนักเรียน เรามีการแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มรวยสุด 25% บน จนถึงยากจนสุด 25% ล่าง พบว่านักเรียนที่ครอบครัวมีระดับรายได้น้อยลงมา ค่าเฉลี่ยคะแนนจะน้อยลงตามมาเช่นกัน ทั้ง 3 วิชา เมื่อดูสัดส่วนระหว่างผ่านเกณฑ์กับไม่ผ่านเกณฑ์ของทั้ง 4 กลุ่ม จะพบว่า กลุ่มรวยที่สุด สัดส่วนใกล้เคียงกันคือ ผ่าน 52% ไม่ผ่าน 48% แต่ระดับรายได้ลดลงสัดส่วนระหว่างผ่านเกณฑ์และไม่ผ่านเกณฑ์ก็แตกต่างกันมาก กลุ่มยากจนที่สุดไม่ผ่านสูงถึง 77.43% ผ่านเพียง 22.57%
แต่เมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปจะพบว่า กลุ่มเด็กช้างเผือก คือ กลุ่มเด็กที่ยากจนที่สุด แต่มีผลคะแนนสูงในกลุ่มท็อป 25% บน มีจำนวน 260 คน เราพบว่า สามารถทำคะแนนทั้ง 3 วิชาได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเด็กที่รวยที่สุดในประเทศนับเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ แต่กลุ่มนี้มักหลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนใคร ไปไม่ถึงระดับอุดมศึกษาเพราะต้องออกมาหาเลี้ยงครอบครัว เราจึงต้องค้นหาเด็กช้างเผือก ดูแลให้มีเส้นทางการศึกษาให้ไกลที่สุด มีงานทำ และเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศ ก็จะมีโอกาสที่มีรายได้สูงที่จะพาออกจากกับดักความยากจน
ดังนั้น การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมในไทย การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ โดยเราพบว่า กลุ่มช้างเผือกมีทัศนะอยากเรียนสูงมากกว่าเด็กยากจนส่วนใหญ่
“เมื่อพิจารณาปัจจัยสนับสนุนจากครอบครัว เช่น ได้กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ไหม มีบทสนทนาการศึกษากับที่บ้านไหม และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโรงเรียน กลุ่มเด็กช้างเผือกสถานการณ์ดีกว่าเด็กยากจน ขณะที่กรอบความคิดแบบเติบโต Growth Mindset หรือเชื่อว่าตนเองพัฒนาได้ กลุ่มเด็กช้างเผือกก็คะแนนสูงกว่าทุกกลุ่ม ดังนั้น การจะเปลี่ยนเด็กยากจนหรือช้างพังให้เป็นช้างเผือกได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปเติมเต็มช่องว่างให้ได้ โดยเฉพาะบริบทของครอบครัวและโรงเรียน รวมถึงปลูกฝัง Growth Mindset ให้ไม่ย่อท้อปัญหา ไม่ยอมแพ้ และเชื่อว่าพัฒนาได้ เพราะหากดูข้อมูลระดับโลก จะเห็นว่าประเทศที่เด็กมีคะแนน Growth Mindset สูง คะแนน PISA ก็สูงตามไปด้วย” ดร.ไกรยส กล่าว
ดร.ไกรยส กล่าวว่า กสศ. ยังทำโครงการวิจัย PISA for School ร่วม OECD วิเคราะห์ในระดับโรงเรียน พบว่า เด็กช้างเผือกทำคะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจากทุกระดับรายได้เราวิเคราะห์ว่าความเป็นช้างเผือกสร้างได้หรือไม่ พบว่า มีตัวแปร5 ตัวทักษะอารมณ์สังคม หรือ Big 5 Model ที่เด็กช้างเผือกมี แต่เด็กยากจนคนอื่นไม่มี คือ 1.การมองโลกแง่บวก 2.การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น 3.รู้สึกกระตือรือร้นไม่หยุดนิ่งตัวเองต้องพัฒนาตลอดเวลา 4.การมีระเบียบวินัยในตัวเอง และ 5.ความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางทักษะเด็กช้างเผือกก็สูงกว่าเด็กฐานะดีด้วยซ้ำ หากเราบ่มเพาะให้เด็กมีทักษะเหล่านี้ อนาคตของเด็กไทยก็จะดีขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังพบว่า โรงเรียนที่มีปัญหาขาดแคลนทรัพยากร และบุคลากร คือ ยิ่งขาดครู ไม่ครบชั้น ไม่ครบสาระขาดอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน ยิ่งได้คะแนน PISA น้อย โดยงบประมาณการศึกษาส่วนใหญ่เป็นเงินเดือนและงบประจำ งบลงทุน เหลือเป็นงบพัฒนาการสอนไม่ถึง 10% ดังนั้น จึงต้องสนับสนุนให้มีงบประมาณลงไปถึงห้องเรียนด้วย
ดร.ไกรยส กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถามความรู้สึกของเด็ก เด็กรู้สึกตัวเองใช้เวลาเรียนเยอะ แต่ไม่รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไร ขณะที่บางประเทศอย่างนิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ แคนาดา เกาหลีใต้ เอสโตเนีย ญี่ปุ่น ใช้เวลาเรียนไม่เยอะ แต่เด็กรู้สึกได้ว่าเรียนรู้จริงๆ และกลุ่มนี้คะแนน PISA ก็สูง ขณะที่ความรู้สึกปลอดภัย เด็กไทยก็รู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน หรือขาดขวัญทางการศึกษา ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากช่วงสถานการณ์โควิด-19 ด้วย
ขณะที่การสอบถามความเห็นของครู พบว่า ไม่อยากให้มองแค่ผล PISA แต่ต้องมองทะลุไปสู่ภาพที่ใหญ่กว่านั้นคือ พัฒนาการศึกษาอย่างไรให้เด็กมีแรงบันดาลใจรู้สึกอยากเรียนและครูสนับสนุนให้เดินไปบนเส้นทางนั้น เด็กจึงเรียนแล้วไม่เครียดสร้างระบบการศึกษาที่มาจากรอบๆ ตัวเด็ก ให้ความสำคัญระบบนิเวศการเรียนรู้ เชื่อมโยงไปสู่ครอบครัว ชุมชน ประเทศ
ดังนั้น ข้อเสนอเชิงนโยบายของ กสศ. คือ ต้องไม่มีรั้วระหว่างบ้านและโรงเรียน ที่แยกกันทำหน้าที่ บ้านก็โยนว่าหน้าที่การเรียนการสอนเป็นของโรงเรียน หรือโรงเรียนไม่ได้สนใจสถานะของเด็ก ต้องมีมาตรการสนับสนุนให้เกิดการทำงานระหว่างบ้านและโรงเรียนมีมากขึ้น รวมถึงทำให้เกิดการเรียนรู้เพื่อทักษะอนาคต ต้องบูรณาการทั้งเรื่องของสุขภาวะเด็ก การเรียนการสอน และการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ให้เป็นภาพเดียวกัน จะมองแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้ เช่น สุขภาวะต้องดูว่าเด็กมีภาวะทุพโภชนาการหรือไม่ ซึมเศร้าไหม การเรียนการสอนที่ต้องออกแบบให้ยืดหยุ่น ถ้าทำได้ดี เมื่อมีการประเมินเข้ามาเด็กไทยก็มีขวัญพร้อมเข้าสู่การประเมิน แนวโน้มก็จะดีขึ้น
ขณะที่ระบบการศึกษานั้นมีหลายระบบ มีทั้งที่เน้นเรื่องการเรียนอย่างมีความสุข ผลคะแนนดี และความเสมอภาค เราพบว่า มี 4 ระบบการศึกษา คือ ญี่ปุ่น เกาหลี ลิทัวเนีย และไต้หวัน ที่ทำได้ทั้ง 3 ด้าน ส่วนระบบการศึกษาของไทยก็ต้องมาดูว่าจะเริ่มจากจุดไหน
“การปฏิรูปที่สำคัญ คือ ต้องทำให้เกิดวงจรการเรียนรู้ในชั้นเรียน ซึ่งที่ผ่านมาเราติดกับดักแค่ตอนสอบ ใช้การประเมินเชิงSummative Assessment หรือการสอบไล่ พอวัดผลแล้วก็ปิดเทอม ไม่ได้มีการพัฒนา จึงต้องทำให้เกิดการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้เชิง Formative Assessment มากขึ้น ให้ครูมีเครื่องมือนี้ในการประเมินผลตอนที่เด็กกำลังเรียน แต่ไม่ใช่การสอบมิดเทอม จะทำให้เด็กรู้ว่าเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายหรือเนื้อหาส่วนไหนตัวเองเรียนรู้มาถึงจุดไหน และเป้าหมายการเรียนรู้ต่อไปคืออะไร ทำให้รู้ว่าเด็กเรียนได้ดีขึ้นหรือแย่ลงแล้วต้องรีบพัฒนา อย่าไปรอลุ้นประเมิน PISA ซึ่งเราเป็นอย่างนี้มา 20 ปีแล้ว ซึ่งจริงๆPISA เป็นเพียงเหมือนการตรวจสุขภาพเท่านั้น ที่ทำให้เรารู้ว่าต้องพัฒนาตรงไหนอย่างไร” ดร.ไกรยส กล่าว
ดร.ไกรยส เปิดเผยว่า กสศ. กำลังทำวิจัยกับ OECD ในการนำ PILA หรือนวัตกรรมการประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องมาทดลองใช้ เพราะต่อไปการประเมิน PISA 2025 รูปแบบการประเมินจะเปลี่ยนจากประเมินความรู้ ที่เป็นแบบเลือกตอบปรนัย มาสู่การประเมินสมรรถนะที่เปิดกว้าง มีระบบโต้ตอบกับผู้ใช้ในการใช้เหตุผลบนฐานข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ หากทำผิดก็แก้ไขได้ จะทำให้เกิดการประเมินว่าทำครั้งที่สองทำดีขึ้นไหม มีความอดทน ต่อสู้ และมี Growth Mindset หรือไม่
เรื่องการศึกษานั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นจะต้องเปิดให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพ มีประโยชน์ต่อองค์กร ประเทศชาติ รวมทั้งต่อโลกใบนี้สืบต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี