‘กสม.’แนะ ‘ศธ.’ทำความเข้าใจ‘รหัสG’ทุกโรงเรียนให้ตรงกัน หลังพบเด็กไร้หลักฐานทะเบียนราษฎร์เข้าไม่ถึงสิทธิ์
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากแกนนำประสานเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมภาคตะวันตก เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ระบุว่า นักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยของโรงเรียนบ้านป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) จำนวน 27 คน ไม่ได้รับการกำหนดและรับรองรหัสประจำตัวผู้เรียน (รหัส G) จากสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) เพชรบุรี เขต 2 (ผู้ถูกร้องที่ 2) ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ด้านการศึกษา เช่น ไม่ได้รับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน ค่าอาหารกลางวัน และค่าอาหารเสริม (นม) จึงรับไว้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงของทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ประกอบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ให้การรับรองสิทธิของเด็กทุกคนที่จะได้รับการศึกษา และการจัดการศึกษาระดับประถมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 ประกอบ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี สิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
โดยคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2548 ขยายโอกาสทางการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยสามารถเข้าเรียนโดยไม่จำกัดระดับ ประเภท หรือพื้นที่การศึกษา รวมทั้งการรับเข้าเรียน ลงทะเบียนนักเรียน นักศึกษา การออกหลักฐานทางการศึกษา และให้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่บุคคลดังกล่าว ตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในอัตราเดียวกันกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้แก่เด็กไทย
นอกจากนี้ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ลงวันที่ 31 ต.ค. 2562 ประกอบหนังสือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ศธ 04006/ว 2813 ลงวันที่ 23 ก.ค. 2563 กำหนดให้สถานศึกษารับเด็กหรือบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้าเรียน ซึ่งหากเด็กไม่มีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเลขประจำตัว 13 หลัก ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนในระบบกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียน
โดยให้สถานศึกษากำหนดรหัสประจำตัวนักเรียน (รหัส G ) ให้แก่เด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ผ่านระบบ G Code และให้นายทะเบียนหน่วยงานต้นสังกัดตรวจสอบข้อมูลเพื่อรับรองหรือไม่รับรองรหัส G สำหรับใช้ในการแสดงตัวตน และใช้เบิกจ่ายเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่นักเรียนต่อไป ทั้งนี้ สถานศึกษาจะต้องกำหนดรหัส G ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน หลังจากรับนักเรียนเข้าศึกษา
จากการตรวจสอบปรากฏว่า ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านป่าเด็ง ผู้ถูกร้องที่ 1 รับนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้าเรียน และอยู่ระหว่างกำหนดรหัส G จำนวน 27 คน โดยในกระบวนการกรอกข้อมูลนักเรียนพร้อมกับแนบเอกสารเข้าระบบ G Code เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ผู้ถูกร้องที่ 2 ตรวจสอบ พบว่ามีนักเรียนจำนวน 18 คน ที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ตรวจสอบข้อมูลแล้วไม่พบหลักฐานสำเนาสูติบัตร หรือสำเนาทะเบียนบ้านหรือเลขประจำตัว 13 หลักของบิดาหรือมารดา แต่พบหลักฐานอื่น
เช่น สำเนาบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน แบบรับรองรายการทะเบียนประวัติบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน สำเนาทะเบียนประวัติชุมชนพื้นที่สูง (ชาวเขา 9 เผ่า) หนังสือรับรองจากผู้ใหญ่บ้าน หนังสือรับรองการไม่มีตัวตน (แบบ พฐ.23) ซึ่งไม่สามารถยืนยันตัวตนหรือรับรองรหัส G ได้ ประกอบกับระบบ G Code กำหนดให้กรอกข้อมูลผู้ปกครองในส่วนของเลขประจำตัวประชาชนของบิดาหรือมารดา ผู้ถูกร้องที่ 2 จึงไม่รับรองรหัสให้แก่นักเรียนทั้ง 18 คน เป็นเหตุให้นักเรียนจำนวนดังกล่าวไม่ได้รับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน ค่าอาหารกลางวัน และอาหารเสริม (นม)
ขณะที่นักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยอีก 9 คน ซึ่งมีหลักฐานเลขประจำตัว 13 หลักของบิดาหรือมารดา ผู้ถูกร้องที่ 2 สามารถรับรองรหัส G ให้ได้ และโรงเรียนสามารถเพิ่มข้อมูลนักเรียนทั้ง 9 คน ในระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล (Data Management Center) หรือ ระบบ DMC ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้
กรณีดังกล่าว กสม. เห็นว่า การที่โรงเรียนรับนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้าเรียน จะต้องเรียกหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามลำดับของนักเรียนให้ครบถ้วนทุกราย ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ข้อ 6 ได้แก่ (1) สูติบัตร (2) หนังสือรับรองการเกิด บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน หรือหลักฐานที่ทางราชการจัดทำขึ้นในลักษณะเดียวกัน
(3) หลักฐานที่ทางราชการออกให้ หรือเอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ได้ (4) ให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือองค์กรเอกชนทำบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบ เป็นหลักฐานทางการศึกษา หรือ (5) ให้สถานศึกษาซักถามประวัติบุคคลผู้มาสมัครเรียนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบ เป็นหลักฐานทางการศึกษา ซึ่งในกรณีนี้ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่เรียกหลักฐานให้ครบตามระเบียบ
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ลงวันที่ 31 ต.ค. 2562 และหนังสือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ศธ 04006/ว 2813 ลงวันที่ 23 ก.ค. 2563 การที่ผู้ถูกร้องที่ 2 พิจารณาเฉพาะหลักฐานคือสำเนาสูติบัตร สำเนาทะเบียนบ้านของบิดาหรือมารดาเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงหลักฐานอื่น
เช่น บันทึกแจ้งประวัติบุคคล หรือ บันทึกการซักถามประวัติโดยสถานศึกษา (ซึ่งโรงเรียนมิได้ดำเนินการเรียกหลักฐานให้ครบถ้วน) เป็นเหตุให้นักเรียนไม่ได้รับการรับรองรหัส G และไม่อาจเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการศึกษา นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงกรอบระยะเวลาในการกำหนดรหัส G ตามกฎหมาย ซึ่งสถานศึกษาต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน หลังจากรับนักเรียนเข้าศึกษา การที่ผู้ถูกร้องที่ 1 และที่ 2 ดำเนินการกำหนดรหัส G ล่าช้า ส่งผลให้นักเรียนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการศึกษาเช่นกัน
“กสม. เห็นว่า ระบบ G Code ไม่ได้กำหนดความจำเป็นในการกรอกข้อมูลเลขประจำตัวประชาชนหรือเลขจากบัตรอื่นๆ ของบิดาหรือมารดา รวมทั้งการกรอกข้อมูลผู้เรียน หากไม่ทราบวันเดือนเกิดให้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม หากไม่ทราบสัญชาติและเชื้อชาติให้กรอกข้อมูลว่า “ไม่ระบุสัญชาติ” หากไม่มีสำเนาสูติบัตรให้แนบหลักฐานทางการศึกษาอื่นได้ ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 จึงมีมติว่าผู้ถูกร้องทั้งสองมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการไม่รับรองและรับรองรหัส G ให้นักเรียนล่าช้า” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อไปว่า กสม. มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังผู้ถูกร้องทั้งสองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ (1) ให้โรงเรียนบ้านป่าเด็ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 (ผู้ถูกร้องที่ 2) กำหนดรหัส G ให้แก่นักเรียนที่ยังไม่ได้รับการกำหนดรหัสอีก 18 คน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ เสริมความรู้ให้แก่ผู้ถูกร้องทั้งสอง
และให้โรงเรียนบ้านป่าเด็ง ประสานผู้ปกครองของนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรและเลขประจำตัว 13 หลัก รวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ส่งให้กับสำนักทะเบียนอำเภอแก่งกระจาน เพื่อแจ้งขอจัดทำเอกสารทะเบียนราษฎร และบัตรประจำตัวในระบบฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎร ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎรด้วย (2) ให้สำนักทะเบียนอำเภอแก่งกระจาน เร่งรัดจัดทำบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามหน้าที่และอำนาจให้นักเรียน ต่อไป
และ (3) ให้กระทรวงศึกษาธิการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดรหัส G ในระบบกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนเพื่อเข้ารับบริการการศึกษาสำหรับผู้ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรให้แก่หน่วยงานทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจตรงกันและถือปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่น ความมุ่งหมายการกำหนดรหัส G การกรอกข้อมูลตามความจำเป็น เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี