สภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) และ โครงการพัฒนาความรู้และความเข้มแข็งกลุ่มแรงงานนอกระบบเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดวงเสวนา “สถานการณ์ความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาสิทธิและสวัสดิการแรงงานนอกระบบของประเทศไทย” เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรร่วมเสวนา 5 ท่าน
นภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวถึง “(ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ พ.ศ.....” ซึ่งสาระสำคัญคือ “คุ้มครองแรงงานนอกระบบ” ที่มีอยู่ราว 20-21 ล้านคนจากคนทำงานทั้งหมด 37-38 ล้านคน โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น หาบเร่แผงลอย แท็กซี่-มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กับ 2.ผู้ประกอบอาชีพกึ่งอิสระรับงานผ่านผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล อาทิ ไรเดอร์ส่งอาหาร ว่า ล่าสุดกำลังอยู่ระหว่างสรุปความคิดเห็นจากที่เปิดรับฟัง ก่อนที่จะส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
จากนั้นจึงจะเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร 3 วาระ และที่ประชุมวุฒิสภา ตามลำดับ โดยคาดว่าน่าจะผ่านออกมามีผลบังคับใช้ได้ประมาณเดือน มิ.ย. 2568 ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่ยังแก้ไขข้อจำกัดที่เกิดจากกฎหมายฉบับก่อนๆ ที่แยกกันดูแลแรงงานในแต่ละเรื่อง เช่น ประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน การคุ้มครองความปลอดภัยในการทำงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน ฯลฯ โดยนำมิติการคุ้มครองแรงงานจากกฎหมายแต่ละฉบับที่มีอยู่เดิมมารวมกัน
อีกทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง คล้ายกับกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ นอกจากนั้นยังมีการตั้งกองทุนส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ ซึ่งในส่วนของแรงงานกึ่งอิสระ จะเป็นมาตรการภาคบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มจ้างงานและผู้รับงานผ่านแพลตฟอร์มต้องส่งเงินสมทบด้วย คล้ายกับกองทุนประกันสังคมที่กำหนดให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องส่งเงินสมทบ ขณะที่แรงงานอิสระเป็นการจ่ายเงินสมทบแบบภาคสมัครใจ
อนึ่ง ต่อข้อซักถามของสื่อมวลชนที่ว่าสืบเนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปหลายคนไม่ได้ทำงานเดียวแต่มีอาชีพที่ 2 เสริมเข้ามาด้วย ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา หลายคนถูกปฏิเสธการเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ จนต้องพยายามอุทธรณ์เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ เช่น ทหาร-ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ใช้เวลากลางคืนไปทำงานรักษาความปลอดภัยสถานบันเทิง แม้สถานบันเทิงถูกสั่งปิดแต่คนกลุ่มนี้ไม่ได้รับสิทธิ์เพราะเป็นข้าราชการ
หรือพนักงานบริษัท-โรงงานที่ใช้เวลาหลังเลิกงานไปขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือค้าขาย แล้วไม่ได้รับสิทธิ์เพราะอยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 หรือคนขับรถแท็กซี่ที่มีไร่นาอยู่ต่างจังหวัด ก็ไม่ได้รับสิทธิ์เพราะเข้าข่ายเป็นเกษตรกร ทั้งที่ได้รับผลกระทบขาดรายได้ นภสร ระบุว่า กฎหมายแรงงานอิสระนี้พยายามอุดช่องว่างดังกล่าวด้วย เช่น ข้าราชการใช้เวลาหลังเลิกงานไปเป็นไรเดอร์ หากประสบอุบัติเหตุจากงานดังกล่าว ก็จะเข้ากฎหมายฉบับนี้ แต่หากประสบอุบัติเหตุในเวลาราชการ ก็จะเป็นเรื่องของสวัสดิการข้าราชการพลเรือน เป็นต้น
“พนักงานบริษัทก็เช่นกัน ในเวลากลางวันคุณอยู่ในมาตรา 33 แต่เวลาตกเย็นคุณไปประกอบอาชีพนี้ คุณก็ต้องได้รับความคุ้มครองในช่วงเวลาที่คุณประกอบอาชีพที่ 2 นี้เช่นกัน เราไม่ได้คำนึงว่าคุณอยู่ตรงนั้นแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อคุณอยู่ในมาตรา 33 คุณอาจได้เรื่องเข้าโรงพยาบาลตามสิทธิ์ แต่สิทธิประโยชน์อื่นนอกเหนือจาก 7 กรณีของมาตรา 33 ก็มีตรงนี้เข้ามาเป็นตัวประกอบในเรื่องของช่วงเวลา” นภสร ระบุ
กชพร กลักทองคำ ประธานสมาพันธ์แรงงานนอกระบบ กล่าวว่า ในส่วนของการพัฒนาทักษะอาชีพ เสนอให้ปรับแผนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเฉพาะประเด็น “ความทันสมัยของอาชีพ” นอกจากนั้นในส่วนของผู้ที่ฝึกอาชีพ ควรต้องแยกให้ชัดระหว่างคนที่เป็นอยู่แล้ว อาจให้ทำเพียงการทดสอบฝีมือแล้วอาจออกเป็นเอกสารรับรอง การันตีให้นำไปติดในสินค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ แต่อีกกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นก็อาจต้องให้ฝึกทักษะกันไป
“สำคัญที่สุดคือองค์กรหน่วยงานรัฐ เวลาสนับสนุนไม่ติดตาม ไม่ประเมินผล ให้แล้วก็ไม่ติดตาม ถือว่าทำสำเร็จแล้ว ไม่ติดตามประเมินผล เพราะฉะนั้นการฝึกอาชีพหรือการพัฒนาทักษะต่อยอดต่างๆ ถ้ามันไม่มีการประเมิน แล้วก็แนะแนวให้ความรู้เรื่องการจัดการต่างๆ ฝึกไปก็ไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้ อันนี้ที่เป็นปัญหา แล้วตอนนี้หลักเกณฑ์สำคัญก็คือจำนวนคนคุณไม่ต้องบอกว่าจำนวนเท่าไร อย่าไปเอาปริมาณ ต้องเอาคุณภาพ” กชพร กล่าว
วิชญ์พิพล ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ปัญหาของแรงงานนอกระบบคือการขาดหลักประกันคุ้มครอง เม่ือมีปัญหาใดๆ เข้ามา เช่น สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 หรือช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว (Slowdown) ก็จะได้รับผลกระทบสูง อีกทั้งโดยทั่วไปจะมีรายได้ไม่พอใช้หลังพ้นจากวัยทำงาน
“จากข้อมูล Gross Pension Replacement Rates ปี 2563 ความพอเพียงของบำนาญหลังเกษียณอายุ บอกว่า คนเกษียณอายุควรจะมีรายได้ขั้นต่ำ ของ OECD ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ประมาณ 52% แต่ของคนไทยจะประมาณ 37.5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ จริงๆ เราเคยคำนวณตัวเลขไว้คร่าวๆ แรงงานหลักเกษียณอายุควรจะมีเงิน 40-50% ของเงินเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ เพื่อที่จะเลี้ยงอายุให้เพียงพอในวัยชราภาพ” วิชญ์พิพล ระบุ
บวร ทรัพย์สิงห์ นักวิชาการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แรงงานนอกระบบครึ่งหนึ่งเป็นเกษตรกร ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีงบประมาณสำหรับดูแลคนกลุ่มนี้อยู่ แต่ยังมีแรงงานนอกระบบในภาคการค้าและบริการ รวมถึงกลุ่มผู้ทำการผลิต ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศไทย จึงต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้ เมื่อคนมีอายุมากขึ้น ก็มีแนวโน้มต้องออกมาเป็นแรงงานนอกระบบมากขึ้น
“เมื่อเวลาที่อายุสัก 29 ปีเป็นต้นไป คนแรงงานในระบบจะค่อนข้างออกมา กราฟจะตกลง แล้วจะตกลงอย่างมาก โอกาสที่จะกลับไปเป็นแรงงานเมื่อเราออกจากงานในระบบแล้ว ด้วยทักษะที่มันไม่สามารถจะตอบสนองตลาดแรงงานได้ การกลับเข้าไปในระบบอีกมันไม่ใช่เรื่องง่าย” บวร กล่าว
พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่า ภาพรวมของประเทศไทยดูเจริญขึ้นมากหากมองไปที่ตึกอาคารต่างๆ แต่ก็ต้องกลับมามองที่คน ทั้งนี้ ร้อยละ 40 ของเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาคนอกระบบ เช่น ในกรุงเทพฯ มีผู้ค้าหาบเร่แผงลอย 2 แสนคน สมมุติขายได้วันละ 1,000 บาท
ปีหนึ่งก็อยู่ที่เกือบ 1 แสนล้านบาท หรือแม้แต่ลูกจ้างทำงานบ้าน มูลค่าต่อปีก็หลักพันล้านบาท
“ถ้าเราพลิกนิดเดียวในการพัฒนาประเทศ แล้วเราไม่ได้มองแรงงานนอกระบบเป็นภาระ เรามองแรงงานนอกระบบเป็นส่วนหนึ่ง เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจของเรา แล้วเราพัฒนาคน ประเทศไทยไปไกลมาก เพราะเรามีภาครัฐที่ซัพพอร์ตอยู่” พูลทรัพย์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี