ผ่านพ้นไปแล้วกับ “งานประชุมสุดยอดการคุ้มครองเด็ก Child Protection Summit, Bangkok 2024” จัดโดยมูลนิธิเด็กโลก (World Childhood Foundation) ในสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน ร่วมกับ มูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก (Safeguardkids Foundation) เมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ณ ที่ทำการองค์การสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย กรุงเทพฯ โดยมีคนทำงานด้าน “การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก” จากหลากหลายแวดวง ร่วมให้มุมมองและเผยแพร่ข้อมูลที่ชี้ว่าประเทศไทยยังต้องยกระดับมาตรการ “คุ้มครอง-ป้องกัน” ให้เข้มข้นขึ้น
เริ่มจากตัวแทนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการศูนย์คดีละเมิดทางเพศเด็ก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า ในอดีตการจับกุมผู้กระทำผิด 1 คน DSI จะพบการละเมิดทางเพศต่อเด็ก 1-2 คน แต่เมื่อเริ่มสืบจาก “ภาพลามกอนาจารที่ปรากฏในออนไลน์” ตามอำนาจทางกฎหมายโดยไม่ต้องรอการให้ปากคำจากเด็ก ซึ่งบางคนกว่าจะพร้อมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เวลาก็ล่วงไป 10-20 ปี พบว่า ปัจจุบันผู้กระทำผิด 1 คน สามารถแชร์ภาพละเมิดทางเพศเด็กได้หลายแสนภาพ
ทั้งนี้ การทำงานและขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมของ DSI ที่ร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ สามารถช่วยเหลือเด็กในประเทศและที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ทั้งในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ได้หลายคดีโดยหลังจากที่มีกฎหมาย DSI มีอำนาจในการดำเนินคดีละเมิดทางเพศเด็ก รวมถึงการพยายามที่จะศึกษาและพัฒนาบุคลากรให้เท่าทันอาชญากรและเทคโนโลยีที่คนร้ายใช้ในการปิดบังอำพราง ส่งต่อหรือแชร์ภาพลามกอนาจารเด็ก
“พูดได้ว่าไม่มีคดีไหนเลยที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู มาร้องเรียน แต่เป็น DSI สืบสวนจากอินเตอร์เนตแล้วเอาความจริงนั้นไปบอกคนในครอบครัวว่าลูกหลานของคุณถูกละเมิดทางเพศ ซึ่งเปรียบได้กับคนประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บเสียชีวิต แล้วเราต้องไปแจ้งข่าวร้ายให้ทราบ ผู้ปกครองหลายคนแทบจะครองสติไม่ได้ถึงขนาดเข่าทรุดลงไปแล้วก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่” ร.ต.อ.เขมชาติ กล่าว
ในเรื่องของภาพลามกอนาจารเด็ก ต้องยอมรับว่า “น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง” ดังที่ ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย เปิดเผยว่า จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสายด่วนอินเตอร์เนตไทยฮอตไลน์กับฮอตไลน์สากลอินโฮป 54 แห่ง ครอบคลุม 50 กว่าประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศไทยมีจำนวนเคสการละเมิดมากขึ้นทุกปี แต่ละปีได้รับรายงานการแจ้งมากกว่า 10,000 URL และแต่ละ URL ไม่ได้มีเหยื่อเด็กแค่ 1 คน หรือภาพอนาจารแค่ 1 ภาพ แต่อาจเป็น 100 เป็น 1,000 ภาพ
โดยอายุเด็กที่ถูกละเมิดจากช่วงชั้นมัธยมกลับลดลงเป็นเด็กที่มีอายุเพียง 3-13 ปี ซึ่งมีมากถึงกว่าร้อยละ 80 แม้แต่เด็กที่อายุ 0-2 ขวบ ก็มีถึงร้อยละ 2 อีกทั้งจากการสำรวจเด็กกลุ่มตัวอย่าง 30,000 กว่าคนในปี 2565 ร้อยละ 81 มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง ในจำนวนนี้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ถึงร้อยละ 85 ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เด็กเสี่ยงภัยออนไลน์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 รวมถึงยังมีค่านิยมการสร้างคอนเทนต์ปลดเปลือยจากตัวเด็กเอง ถ่ายกันเองแล้วก็ชวนกันแชร์ขึ้นไปบนอินเตอร์เนต ซึ่งคนร้ายมักจะเก็บภาพเหล่านี้ไปรวบรวมและใช้ข่มขู่เแบล็กเมล์เด็ก เป็นต้น
“ภาพลามกอนาจารเด็กที่อยู่บนอินเตอร์เนต ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนและวนเวียนทำร้ายเด็กไม่มีที่สิ้นสุด เราไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่าจะตามลบออกได้หมด เด็กจึงมีบาดแผลทางใจ ทนทุกข์ทรมาน บางคนต่อสู้กับสิ่งนี้ 1 เดือน 3 เดือน6 เดือน บางคน 1 ปี สู้ไม่ไหวทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตายก็มี อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย” กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าว
ขณะที่ กีโยม แลนดรี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานเลขาธิการ องค์การเอ็คแพท ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กไทยทางออนไลน์ว่า จากการทำงานในระดับนานาชาติประเทศไทยคือ 1 ใน 25 ประเทศ ที่อยู่ในกลุ่มน่าเป็นห่วง โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่เด็กกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ปัญหาดังกล่าวข้ามศาสนา ข้ามสังคม เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน และไม่มีความแตกต่างว่าจะเป็นเด็กหญิงเด็กชาย เด็กในเมืองหรือชนบท
“ต้องดูแลเด็กๆ ทุกกลุ่ม ควรเน้นรับฟังและให้ความช่วยเหลือเด็กซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะที่ผ่านมามักใช้โครงการหรือยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่ซับซ้อนเข้าไปช่วยเหลือ แต่โครงการเหล่านั้นไม่ได้มีผลทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น เด็กและเยาวชนกว่า 70% ไม่เชื่อมั่นในโครงการหรือยุทธศาสตร์ว่าจะช่วยพวกเขาได้จริงๆ ด้วยซ้ำ” ผอ.ฝ่ายบริหาร สำนักงานเลขาธิการ องค์การเอ็คแพท
ไม่ใช่แค่ออนไลน์..แต่ “ออฟไลน์” ก็ยังต้องเฝ้าระวังโดย กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา เครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทยกล่าวถึง “เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานรองรับประเภทต่างๆ” ว่าเป็น “กลุ่มเปราะบาง” และ “เสี่ยง” ต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยระบุว่า เด็กและเยาวชนที่มาอยู่ในสถานรองรับจะขาดทักษะการใช้ชีวิตเพราะมีคนจัดการให้ มีสภาพจิตใจที่เปราะบางจากภาวะพร่องรัก จะวิ่งหาคนที่มาเยี่ยมเพราะโหยหาความรัก คนทั่วไปที่มาทำกิจกรรมจึงเข้าถึงเด็กได้ง่ายมาก นอกจากนี้ยังถูกกลั่นแกล้งหรือถูกล่วงละเมิดโดยรุ่นพี่หรือผู้ดูแลสถานรองรับ
“ตัวเด็กไม่กล้ามีปากมีเสียง เพราะคิดว่าพูดไปก็ไม่มีใครได้ยิน บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ อยู่ในสภาวะจำยอมด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แตกต่างกัน เราจึงเห็นพฤติกรรมเด็กรุนแรงมากขึ้น ยังพบปัญหาสุขภาพจิตสูงขึ้นมากในสถานรองรับทุกประเภท เด็กเริ่มมีภาวะซึมเศร้าไปจนถึงทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตาย เช่น ในจังหวัดแห่งหนึ่งที่เพิ่งไปเก็บข้อมูลมาเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว พบว่าเด็กมีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับเพื่อนในสถานรองรับที่ปรากฏว่ามีการระบาดของ HIV” กัณฐมณี ระบุ
ปิดท้ายด้วยตัวแทนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอีกท่านหนึ่ง มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัดคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครพนม ชวนมองต่อไปถึง “ช่องว่าง-ช่องโหว่” ที่นำไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เพราะประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับอย่างครอบคลุม อาทิ การพูดคุยเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก (Sexting) การชักจูงใจหรือล่อลวงเด็กให้กระทำเรื่องไม่สมควรทางเพศออนไลน์ (Grooming) และการข่มขู่เด็กเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ในเรื่องทางเพศ (Sextortion)
อัยการมาร์ค ยกตัวอย่างประสบการณ์สมัยไปประจำการอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก ว่า มีบางคนเป็น “กลุ่มคลั่งเด็ก” ซึ่งคนกลุ่มนี้จะสร้างบ้านหลังใหญ่ มีสนามฟุตบอล มีสระว่ายน้ำ มีทีวีจอใหญ่ เพื่อหลอกล่อให้เด็กมาเล่นที่บ้านและอาศัยจังหวะในการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งในสหรัฐอเมริกา หรือประเทศใดๆ ที่มีกฎหมายว่าด้วยพฤติกรรมข้างต้นบังคับใช้แล้ว เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมดำเนินคดีได้เลย ไม่ต้องรอให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศขึ้น
“เข้าใจว่าหลายๆ ท่านในที่นี้ไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ขอให้ใช้ความเป็นมนุษย์ที่ถ้าบุตรหลานในครอบครัวถูกใครสักคนส่งข้อความมาคุยเรื่องทางเพศ อยากกอด อยากจูบ อยากหอม อยากมีเพศสัมพันธ์ แต่อย่างอื่นเขาไม่ได้ทำ ไม่ได้ส่งคลิปวีดีโอโป๊ ไม่ได้ส่งใดๆ มาเลย แต่ตำรวจทำอะไรเขาไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ ฉะนั้นจึงควรปรับปรุง แก้ไข และผลักดันกฎหมายเพื่อคุ้มครองเด็กให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก” อัยการมาร์ค กล่าว
อัยการมาร์ค ยังกล่าวอีกว่า ร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มความคุ้มครองเด็กให้ครอบคลุม เคยถูกเสนอต่อวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดก่อนให้ความเห็นชอบในหลักการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม โดยหากไม่มีกฎหมายนี้ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไม่ว่าตำรวจหรืออัยการก็ไม่สามารถทำหน้าที่ เพราะไม่มีกฎหมายระบุความผิดและบทลงโทษ
เท่ากับปล่อยให้คนร้ายอาศัยช่องโหว่กระทำผิดไปได้เรื่อยๆ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี