‘เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น’
ในยุคที่ผู้คนแสวงหาความสำเร็จและความสุข หลายครั้งที่เรามักมองหาปัจจัยภายนอกเพื่ออธิบายสถานการณ์ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตา พรหมลิขิต หรือการกระทำของผู้อื่น ทว่าในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีหลักธรรมสำคัญประการหนึ่งที่ชี้ตรงมาที่ตัวเราอย่างชัดเจน นั่นคือ "เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น" หลักธรรมนี้ไม่ใช่เพียงแค่ประโยคสั้นๆ แต่คือหัวใจสำคัญของกฎแห่งเหตุและผลที่ทำงานอย่างเที่ยงตรงและเป็นสากล ทำให้เราเข้าใจถึงรากฐานของการกระทำและผลที่ตามมาในชีวิต
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจคำว่า "กรรม" ในบริบทของพุทธศาสนาให้ถ่องแท้ กรรมไม่ใช่เรื่องของโชคร้ายหรือความบังเอิญ แต่คือ "เจตนา" ที่ประกอบด้วยการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย เช่น การให้ทาน, การช่วยเหลือ การกระทำทางวาจา เช่น การพูดความจริง, การให้กำลังใจ หรือการกระทำทางใจ เช่น การคิดเมตตา, การคิดอิจฉา ทุกการกระทำที่มีเจตนาล้วนถูกบันทึกไว้ในกระแสจิตของเรา และพร้อมที่จะส่งผลกลับคืนในเวลาที่เหมาะสม
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ – ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม" นี่แสดงให้เห็นว่า เจตนาคือหัวใจของกรรม หากการกระทำใดไม่มีเจตนา ก็ไม่ถือว่าเป็นกรรมที่จะส่งผลดีหรือร้ายต่อผู้กระทำในแง่ของวิบากกรรมที่สลับซับซ้อน อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ขาดเจตนาก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้ แต่จะไม่ก่อให้เกิด "กรรม" ที่ติดอยู่ในจิตของผู้กระทำ
ประโยคที่ว่า "เรามีกรรมเป็นของๆ ตน" ตอกย้ำถึง ความรับผิดชอบสูงสุดที่เรามีต่อชีวิตตัวเอง ไม่มีใครสามารถสร้างกรรมแทนเราได้ และไม่มีใครสามารถมารับผลกรรมที่เราสร้างไว้ได้เช่นกัน การเป็นเจ้าของกรรมของตนเองหมายถึงการเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเองผ่านการตัดสินใจและการกระทำในแต่ละขณะจิต หากเราเลือกที่จะทำดี คิดดี พูดดี กรรมดีก็จะเกิดขึ้นกับเรา และผลดีก็จะตามมา ในทางกลับกัน หากเราเลือกที่จะทำชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว กรรมชั่วก็จะเกิดขึ้น และผลร้ายก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลักการนี้สอนให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเองเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว ความสุขหรือความทุกข์ แทนที่จะโทษโชคชะตาหรือผู้อื่น เราจะเริ่มสำรวจการกระทำในอดีตของตนเอง ทำให้เราตระหนักว่าเรามีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงอนาคตด้วยการกระทำในปัจจุบัน
ประโยคที่สอง "เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น" คือการยืนยันถึง กฎแห่งกรรมที่ทำงานอย่างยุติธรรมและเที่ยงตรง ดุจเมล็ดพืชที่ปลูกอย่างไรก็ต้องเก็บเกี่ยวผลอย่างนั้น กรรมดีที่ทำไว้ ย่อมส่งผลเป็นความสุข ความเจริญ ความสำเร็จ และความสงบในใจ เช่นเดียวกับกรรมชั่วที่ทำไว้ ย่อมส่งผลเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อน ความล้มเหลว และความไม่สบายใจ
ผลของกรรมอาจไม่ได้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด อาจส่งผลในชาตินี้ หรืออาจส่งผลในชาติภพถัดไป ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของกรรมและปัจจัยเสริมต่างๆ เปรียบได้กับการโยนหินลงน้ำ คลื่นอาจไม่ได้ซัดเข้าฝั่งทันที แต่จะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะกระทบฝั่ง การทำความเข้าใจในจุดนี้จะช่วยให้เราอดทนและไม่ท้อถอยเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก เพราะเราเข้าใจว่านี่อาจเป็นผลของกรรมเก่าที่เราเคยสร้างไว้ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นแรงผลักดันให้เราสร้างกรรมดีต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
การน้อมนำหลักธรรม "เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น" มาสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้
การตระหนักรู้ในตนเอง : เราจะเริ่มสังเกตการกระทำ คำพูด และความคิดของตนเองอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใด เราจะหยุดคิดว่า "สิ่งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อตัวเราและผู้อื่น?"
การพัฒนาจิตใจ : การเข้าใจว่าทุกการกระทำมีผลตามมา จะเป็นแรงจูงใจให้เรามุ่งมั่นทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว พัฒนาคุณธรรม เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในจิตใจ
การให้อภัยและการปล่อยวาง : เมื่อเข้าใจว่าทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง และต้องรับผลกรรมนั้น เราจะสามารถให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายขึ้น เพราะรู้ว่าการยึดติดกับความโกรธแค้นก็เป็นกรรมอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์
การสร้างอนาคตที่ดี : ด้วยความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม เราจะมุ่งมั่นสร้างกรรมดีในปัจจุบัน เพื่อปูทางไปสู่ชีวิตที่ดีมีความสุขในอนาคต แทนที่จะรอคอยโชคชะตาหรือพึ่งพาผู้อื่น
หลักธรรม "เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น" ไม่ได้เป็นแค่คำเตือน แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้ เพื่อให้เราก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งปัญญา การตระหนักรู้ และความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่ความสงบสุขทั้งในชีวิตนี้และในภพหน้า - 001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี