“พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ทรงทำอะไรกับหญ้ากุสะ 8 กำมือ” ธรรมเทศนาโดย “พระอาจารย์กัลยาโณ” วัดพุทธโพธิวัน เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
“พระโสภณภาวนาวิเทศ” หรือ “พระอาจารย์กัลยาโณ” วัดพุทธโพธิวัน เมลเบิร์น รัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เมตตาปรารภธรรมที่ “นาถะ” เอสโอเอส สาขาเล้าเป้งง้วน ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2568 โดยมีเนื้อหาธรรมที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
“ได้ข่าวว่าปีนี้กลุ่มนาถะบางคนก็เดินทางไปที่ประเทศอินเดีย ไปที่พุทธคยา ไปที่ต้นโพธิ์ ไปที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อาจจะได้ยินที่เข่ากันในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ยังไม่มีที่นั่งในสมัยนั้น ต้นโพธิ์ก็เป็นต้นโพธิ์อยู่ในป่า แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งศรัทธาท่าน ยังไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
จริงๆ เราเรียก “พระโพธิสัตว์” ก่อนที่บรรลุธรรม แต่ก็เห็นกริยา บรรยากาศ ความรู้สึกของพระพุทธเจ้าก็เกิดศรัทธา ก็ถวายหญ้าข้าวกุสะ(กุศะ) 8 กำ มาทำที่นั่งให้พระพุทธเจ้า ในคืนที่ท่านตรัสรู้ธรรมใต้ต้นโพธิ์ ก็วางไว้ ท่านก็กำไว้ กลับไปอินเดียโยมก็จะเห็นเป็นยาชนิดหนึ่งที่สูง เขาจะตัดแล้วคล้ายๆทำเป็นฟูก เป็นที่นั่ง สมัยนี้เราก็ใช้ฟูกจริงๆ หรือ ใช้หมอน แต่ว่าสมัยนั้นก็ใช้ยา เขาตัด 8 กำมือ แล้วก็วางไว้ นิมนต์พระโพธิสัตว์นั่งปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิในคืนที่ตรัสรู้ แล้วหลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็บอกว่า 8 กำมือนี้ สมมติเหมือนโลกธรรม 8
โลกธรรม 8 คืออะไร โลกธรรม 8 ก็ 4 คู่ ประสบการณ์ของมนุษย์เราทุกคนต้องเจอ 4 คู่ คือ ลาภ สิ่งที่เราได้มาในชีวิต จะเป็นเงินทอง เป็นวัตถุ เป็นสมบัติต่างๆ คือ ลาภ และก็ความเสื่อมลาภ ได้เงินมาไม่นานก็จ่ายไป มันก็หมด ก็เสื่อมไป หรือ คนอื่นแย่งไป คนอื่นมาเอาไป หรือ มันหาย บางทีมันก็เสื่อมตามอายุ ก็แล้วแต่ แต่ลาภ เสื่อมลาภ ก็เป็นโลกธรรมคู่หนึ่งที่เราต้องโดนกันทุกวัน บางมีก็เข้ามาแรง ได้เงินเยอะ ได้สมบัติเยอะ บางทีก็หายเร็วเหมือนกัน แต่ว่าการขึ้นๆลงๆของทรัพย์สมบัติเงินทองที่เราได้มาที่เป็นลาภ ก็ต้องเจอทุกคน และ มักจะทำให้เราทุกข์ใช่ไหม
ลาภเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังอยากจะมีผลประโยชน์ มีกำไร ค้าขายก็อยากจะมีกำไร นาถะที่นี่ขายกาแฟอยากจะมีกำไรเข้าองค์กร จะได้ไปทำประโยชน์ ทุกคนก็หวังลาภ ไม่มีใครอยากเสื่อมลาภ หรือ ลาภหาย แต่ต้องเจอ พระพุทธเจ้าก็ให้สังเกต สิ่งที่ทำให้เราหวั่นไหว สิ่งที่เราชอบเกิดความหวั่นไหว ชอบ ติดใจ พอใจ สบายใจ เกิดเสื่อมลาภ ก็เกิดความไม่พอใจ ไม่สบายใจ แต่ด้วยสภาวะจิตก็ไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่หวั่นไหว ทางใดทางหนึ่ง
ท่านก็เปรียบเทียบใจเราที่ยังไม่ได้ ยังไม่เข้าใจความจริง ยังไม่เข้าใจความจริงของโลก ท่านก็เปรียบเหมือนใบไม้ที่อยู่โคนต้นไม้ ลมพัดจากฝั่งโน้น ใบไม้ก็กลิ้งไปทางนี้ ลมพัดจากฝั่งโน้นก็จะกลิ้งไปทางนี้ กลับไปกลับมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยสงบ นี่ใจมนุษย์เป็นอย่างนี้ เพราะติดลาภ กับความเสื่อมของลาภ นินทา สรรเสริญก็อีกคู่หนึ่ง มีใครนั่งที่นี่ที่ไม่เคยได้รับคำนินทาไหม ไม่มี ต้องเจออย่างนี้ทุกคน บางคนเจอเยอะจริง
แต่คนทีจะไม่เจอเลย ไม่โดนเลย ก็ยังมี มีบ้าง มีคนที่นินทาว่าร้าย บางทีลับหลังก็มี ต่อหน้าก็มี บางทีเรื่องจริงก็มี บางทีเรื่องไม่จริงก็มี ทุกคนต้องโดน ต้องเจอ สรรเสริญ มีคนมาพูด ชมเราบ้าง ยอ พูดยอ พูดชมกับเรา ก็มีบ้าง บางทีก็พูดจริงใจ หวังดีจริงๆ หรือชมจริงๆ ก็มี บางทีก็พูดมีอะไรแอบแฝง มีเบื้องหลัง ก็มีเหมือนกัน แต่คำนินทาสรรเสริญต้องมีทุกคน เจอทุกคน ก็ทำให้จิตหวั่นไหวอีก ทุกคนก็อยากได้ให้เขาพูดดีกับเรา ให้เขาชมเรา ให้ชื่อเสียงออกไปในทางที่ดีทุกคน ทุกคนก็ชอบแบบนี้ ยิ่งในสมัยนี้ เทคโนโลยีก็เพิ่ม ความรู้สึกแบบนี้ก็เยอะ มีไลฟ์ (LIVE สด) ก็สบายใจ ไม่มีไลฟ์ก็ทำใจยาก แต่เป็นคำนินทา สรรเสริญที่เราต้องเจอทุกๆวัน ทำให้เราทำใจไม่ได้ ถ้าเรารู้ไม่เท่าทัน
อีกคู่หนึ่งก็ยศ บรรดาศักดิ์ กับความเสื่อมยศ คำว่า ชื่อ อำนาจ ยศ กับความเสื่อมของอำนาจ พาวเวอร์ ยศ ก็ต้องเจออีกทุกคน เราก็ต้องพิจารณาเกี่ยวกับชีวิต บางทีเราก็เป็นคนโสด อีกคนหนึงมียศไม่แต่งงาน หรือ อาจจะเป็นคนมียศแต่งงานแล้ว แต่ว่าเป็นสามีภรรยากัน อีกคนมีอาชีพ แต่อีกคนไม่มีอาชีพ อีกคนมีงานทำ แต่อีกคนตกงาน บางทียศกับเงินทองก็มาใกล้เคียงกัน คู่กันมา แต่เราดูเราเองกับคนรอบข้างก็ต้องมียศ เสื่อมยศ เกิดขึ้นในชีวิต บางทีสลับกัน บางทีได้ดีพักหนึ่ง ตกมามันก็เสื่อม อำนาจขึ้นมา มันก็เสื่อม บางทีช่วงที่ทำงาน มียศ มีตำแหน่ง บางที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแก่แล้ว ยศก็เสื่อม เวลาเราเลิกงาน เกษียณแล้ว มันก็หายไปอำนาจ ก็หายไป อย่างนี้เป็นต้น
คู่สุดท้ายก็สุขกับทุกข์ ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับร่างกายนี้ สุขภาพแข็งแรง มีกำลังก็รู้สึกสุขสบาย แต่ไม่นาน บางทีสุขภาพเสื่อม ความทุกข์ ทุกขเวทนาก็เข้ามา หรือ บางทีวันหนึ่งทำงานมาก ออกกำลังมาก ทำไป ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ยังไม่ได้ทานข้าว ก็หิว หมดแรง หรือ ออกไปข้างนอก ก็กระหายน้ำ ก็ทุกข์ พอไปดื่มน้ำ สุข กินข้าว สุข สุขกับทุกข์มันก็สลับกันทั้งวัน สุขเล็กน้อย ทุกข์เล็กน้อย สุขใหญ่ ทุกข์ใหญ่ ก็มี
4 ตัวนี้ เขาเรียกว่าโลกธรรม เหมือนลมพัดจากทิศต่างๆ ทำให้จิตของเราหวั่นไหวทุกวัน มันไม่นิ่ง ทำให้จิตคิดปรุงแต่งที่เกิดความสบายใจ บางทีปรุงแต่งในทางที่ไม่สบายใจ สร้างความเคยชินด้วยอะไรนิดๆหน่อยๆก็สบายใจทันที ไม่ต้องไปคิดอะไร มันเป็นอัตโนมัติ เขาพูดดี ก็สบาย เขาพูดไม่ดี ก็ไม่สบาย อัตโนมัติ 4 คู่นี้ พัดเราตลอดเวลา เหมือนลมมันพัดเราตลอดเวลา ใจก็แกว่งไปแกว่งมา ไม่มีความสุข เพราะไม่นิ่ง
พระพุทธเจ้าก็เลยสังเกตุอันนี้ ก็เลยคืนที่ท่านตรัสรู้ ท่านก็ทำบัลลังก์ยากุสะ 8 กำมือ และ ท่านนั่งข้างบนบอกว่า ฉันจะทำจิตใจของเราสูงกว่าสิ่งเหล่านี้ เพราะสังเกตุความทุกข์ของโลกเป็นอย่างนี้ ได้ดี แล้วความดีก็หายไป ดีกับคนอื่น ดีกับตัวเอง แต่มันก็หายไป เสื่อมไป ขึ้นๆลงๆ มีใครที่ไม่มีอาการอย่างนี้ ไม่มี อาจารย์ก็ยังไม่เจอ ทุกคนก็บ่นว่า ชีวิต ขึ้นๆลงๆ บางช่วงดี บางช่วงไม่ดี พระพุทธเจ้าบอกว่า เราต้องสร้างสภาวะที่เรียกว่า “ผู้รู้”
“ผู้รู้” ก็คือ “ใจเรา” ผู้รู้ที่เข้าใจด้วยทั้งสติ ทั้งปัญญาว่า สภาวธรรมของโลกเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ ถาวร ท่านก็พิจารณาอย่างนี้ในคืนที่ท่านตรัสรู้ธรรม เรียกว่า หาความจริงใช่ไหม เพราะว่ามนุษย์เราก็ต้องรู้สึกทุกข์ ทุกๆวัน ถึงบางครั้งจะสุข ไม่นานสุขก็หายไป ความทุกข์ก็กลับเข้ามา เพราะอะไร และท่านก็ดูว่า จริงๆมันก็เป็นสภาวะของโลก โลกธรรมมันต้องเป็นอย่างนี้เอง เช่น เรามีร่างกาย เราเกิดมา ทุกคนปรารถนามีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขทางกาย หน้าตาดี มีกำลังดี กำลังวังชาพร้อมที่จะไปทำอะไรต่ออะไร แต่ว่าก็ไม่แน่เนอะ บางครั้งเราก็มีโรค ร่างกายเสียเอนเอียง มีอุบัติเหตุบ้าง ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ยังมีความแก่เข้ามาให้กับร่างกายนี้ แก่ไปทุกวันๆ ชราภาพค่อยๆเกิดขึ้น”
ท่านผู้อ่านสามารถติดตามฟังพระเนื้อหาธรรมได้ต่อที่เพจ “งมงายสไตล์หมอบี” และ ช่องยูทูป GhostAmbassador
สำหรับพระอาจารย์กัลยาโณท่านเขียนความประทับใจของท่านเกี่ยวกับการเข้ามาศึกษาในพระพุทธศาสนาจนกระทั่งเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ในเว็บไซต์ www.buddhabodhivana.org
ไว้ว่า
“ตั้งแต่ที่ได้พบกับหลวงปู่ชา ได้อ่านหนังสือธรรมะของท่าน อาตมาไม่เคยมีความสงสัยในตัวท่านอาจารย์หรือธรรมะของท่านเลย จึงไม่คิดที่จะไปแสวงหาครูบาอาจารย์อื่น ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะมีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายท่าน แต่เมื่อได้พบหลวงปู่ชาเป็นครูบาอาจารย์ท่านแรกแล้ว ก็มีความพอใจในธรรมะของท่าน แม้ว่าการปฏิบัติจะมีอุปสรรคเป็นธรรมดา แต่อาตมาก็มีความรู้สึกปิติพอใจที่จะปฏิบัติตามรอยของท่านและไม่สงสัยในการปฏิบัติ
ช่วงที่บวชใหม่ๆอาตมามีโอกาสใช้เวลาอยู่กับหลวงปู่ชามาพอสมควร เพราะได้สมัครเข้าไปอุปัฏฐากท่านที่วัดหนองป่าพงเป็นประจำ ถึงแม้ว่าตอนนั้นท่านจะพูดไม่ได้ แต่อาตมาก็รับรู้และสัมผัสได้ว่าจิตใจของท่านมีพลังบริสุทธิ์ ท่านมีอารมณ์เยือกเย็นน่าเคารพศรัทธา ถึงแม้จะมีทุกขเวทนาและร่างกายกำลังเสื่อมสภาพ แต่อาตมารู้สึกได้ว่าจิตใจของท่านไม่ได้ยึดติดในทุกขเวทนาที่กำลังประสบอยู่ และท่านก็ไม่ได้แสดงว่ากำลังทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ชิดปฏิบัติอุปัฏฐาก ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้พิจารณาคำสอนของท่านที่ว่า ทุกคนมีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา แต่ถ้ามีสติปัญญารู้เท่าทัน จิตใจก็ไม่ต้องทุกข์กับความจริงอันนี้
นอกจากนั้นในช่วงเวลาที่อยู่ใกล้ชิดท่าน อาตมาได้มีโอกาสพิจารณาถึงปฏิปทาและกิจวัตรของท่านที่ฝากไว้กับลูกศิษย์ลูกหาให้เป็นที่ศึกษาและปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อาตมาพยายามอุปัฏฐากดูแล ดูท่านเป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามดูแลจิตในตัวเองให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ มีความประทับใจและมีความรู้สึกว่าท่านมีเมตตาต่อลูกศิษย์ ถึงแม้ท่านป่วยอยู่ก็ยังสอนลูกศิษย์ได้ เช่น อาจมีบ้าง บางครั้งที่เรานวดถวายท่าน แล้วเผลอสติ ส่งจิตออกนอกกาย เหมือนท่านรู้ ท่านจะดึงแขนทันที เราก็จะรู้สึกมีสติกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง หรือบางครั้งพระสองรูปเผลอสติคุยกันเสียงดัง ท่านก็จะส่งเสียงกระแอมขึ้น เป็นเหตุให้พระทั้งสองต้องหยุดพูดทันทีและหันกลับมาดูท่าน
ตลอดเวลาที่อาตมาได้รับใช้อุปัฏฐากหลวงปู่ชา อาตมารู้สึกได้ถึงความเสียสละด้วยใจเมตตาของท่านที่มีต่อลูกศิษย์ลูกหาโดยการประคองสังขารของท่านไว้ด้วยการมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งทางใจของหมู่คณะพระเณรและญาติโยม ถึงแม้จะต้องรับความทรมานทางกาย แต่เพราะความหวังดีต่อลูกศิษย์ลูกหา ท่านจึงสู้อุตส่าห์อดทนมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกหลายปี และนี้ก็เป็นการสอนให้เรามีความอดทน ซึ่งเราทุกคนก็ทราบว่าท่านมีความอดทนสูงสุดแล้ว และท่านก็สามารถที่จะถ่ายทอดให้เรามีความอดทนตามท่านด้วย
อาตมารู้สึกประทับใจกับคำสั่งสอนของหลวงปู่ชา ที่ท่านสามารถนำเอาเรื่องลึกซึ้งที่อาจจะเข้าใจยากมาสอนให้เข้าใจง่าย และรู้สึกว่าโชคดีที่มีโอกาสได้ศึกษาคำสอนของท่านอย่างใกล้ชิด เพราะอาตมามีโอกาสได้แปลกัณฑ์เทศน์หลายๆกัณฑ์ของท่านจากไทยเป็นอังกฤษ และที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างศีลกับสมาธิกับปัญญา ท่านอธิบายมาตลอดให้เห็นความสำคัญที่จะมีศีล มีวินัยในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาตมาเป็นชาวต่างชาติและไม่ค่อยได้รับการอบรมในสิ่งเหล่านี้เท่าไรนัก แต่ท่านย้ำในเรื่องการมีศีลมีข้อวัตรปฏิบัติส่วนตัว เพราะว่าจะเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ ถ้าไม่มีศีล สมาธิก็เกิดไม่ได้ นอกจากนั้นท่านจะเน้นให้เข้าใจว่าสมาธิคือพื้นฐานให้เกิดปัญญา ท่านสอนให้พยายามสร้างความสงบในใจด้วยการบริกรรม ภาวนาพุทโธ หรืออานาปานสติ เมื่อจิตสงบแล้วให้พิจารณาว่าขันธ์ 5 นี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ความประทับใจในครั้งแรกที่ได้ฟังธรรมหลวงปู่ชา คือเรื่องที่ท่านสอนให้เราพิจารณาเห็นตัวเองเป็นกระดูก เห็นเพื่อนเป็นโครงกระดูก เพราะว่าอาตมาเคยอ่านพระสูตรแล้วพยายามปฏิบัติ พิจารณากายเป็นกระดูกเมื่อสมัยเป็นฆราวาส พอได้มาพบหลวงปู่ชา ท่านก็สอนเหมือนๆกัน คือให้เราเห็นกายนี้เป็นกองอสุภะ ซึ่งก็คือว่างจากความเป็นตัวเป็นตน แนวคำสอนของท่าน สอนให้เราหาทางปล่อยวางอุปาทานออกจากใจให้ได้ ท่านมีพรสวรรค์ในการชี้นำให้เราเห็นโทษของกิเลส และหาอุบายละกิเลสจนได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี