ย้อนวิบากกรรม‘อิ๊งค์’ หยุดปฏิบัติหน้าที่แค่ยกแรก ‘มรสุม’เรื่องร้องรอถล่มอื้อ

ย้อนวิบากกรรม‘อิ๊งค์’ หยุดปฏิบัติหน้าที่แค่ยกแรก ‘มรสุม’เรื่องร้องรอถล่มอื้อ

วันอังคาร ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 17.47 น.

ย้อนวิบากกรรม‘อิ๊งค์’ หยุดปฏิบัติหน้าที่แค่ยกแรก ‘มรสุม’เรื่องร้องรอถล่มอื้อ

เป็นอันว่าการทำหน้าที่ของ “อุ๊งอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในบทบาทนายกรัฐมนตรี ต้องถูกหยุดไว้ก่อนตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณี “คลิปหลุด” เมื่อบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ ที่ น.ส.แพทองธาร พูดคุยกับ “อังเคิลฮุน” ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา มีถ้อยคำที่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทย การบอกว่าแม่ทัพนายกองที่กำลังปกป้องชายแดนเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และนำไปสู่การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นจริยธรรม


แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ “นายกฯ อิ๊งค์” ก็เผชิญมรสุมทางการเมืองเรื่องใหญ่ๆ มาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง

- ตั๋ว PN : ย้อนไปในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2568 “ตัวตึงค่ายสีส้ม” อย่าง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดประเด็น “ตั๋ว PN” หรือ “Promissory Note” ระบุว่า น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมาจากพี่ชาย พี่สาว แม่ ลุงและป้าสะใภ้ ซึ่งแม้จะบอกว่าเป็นการซื้อ แต่ไม่มีการจ่ายเงินค่าหุ้นเหล่านี้ โดย น.ส.แพทองธาร อาศัยการออกตั๋ว PN ให้กับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งการได้หุ้นมา ตามหลักแล้วต้องเสียภาษีให้รัฐ แต่หากเป็นการซื้อหุ้นก็ไม่ต้องเสีย จึงเกิดคำถามว่า นายกฯ อิ๊งค์ กระทำการ “เลี่ยงภาษี” หรือไม่

น.ส.แพทองธาร ได้ชี้แจงว่า เรื่องหุ้นของตน เกิดขึ้นเมื่อปี2559 ก่อนตนเข้าสู่การเมืองหลายปี ตนมีความตั้งใจปรับโครงสร้างของการถือหุ้นบริษัท คือการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือPN เป็นหนังสือให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับอีกบุคคลหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ หนังสือดังกล่าวตนติดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย ซึ่งการซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่มีการเสียภาษีเนื่องจากยังไม่มีการชำระเงิน จึงยังไม่ทราบจำนวน และยังเสียภาษีไม่ได้ ดังนั้นการซื้อขายลักษณะนี้ จึงเป็นภาระหนี้สินระหว่างตนที่เป็นผู้ซื้อ และครอบครัวที่เป็นผู้ขาย ไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ

อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายสิ้นสุดลง นายวิโรจน์ เดินหน้า “ไล่บี้” ต่อเนื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ อาทิ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2568 ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ตนได้ถามไปที่นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ว่าหากคนอื่นทำตามนายกฯ ในการโอนหุ้นให้ลูก โดยการจ่ายภาษีรับให้เป็นตั๋ว PN แทนได้หรือไม่ ปรากฏว่านายปิ่นสาย ไม่แนะนำให้ทำ และให้รอการวินิจฉัยจากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรก่อน

แต่เมื่อถามต่อไปว่าเมื่อไรคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรจะทำการวินิจฉัยเรื่องนี้ ซึ่ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ยังไม่ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะกรรมการฯ ทำให้ไม่มีองค์ประชุมที่จะวินิจฉัยได้ โดผู้อำนวยการกองที่เกี่ยวข้องกำลังรวบรวมเอกสารและขอหลักฐานจากทาง ป.ป.ช.อยู่ ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงพิจารณาวินิจฉัยได้ ซึ่ง นายวิโรจน์ ย้ำว่า ให้เวลา 30 วันตามระเบียบ

แต่หากกรมสรรพากรยังไม่ดำเนินการ ก็จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ไต่สวนชี้มูลความผิดข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงถ้านายพิชัยไม่แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรก็จะยื่นกล่าวหานายพิชัย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ซึ่งก็ต้องจับตากันต่อไปว่า เมื่อครบ 30 วันดังกล่าวแล้ว นายวิโรจน์จะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการจริงหรือไม่

- โยกงบ’68มาทำดิจิทัลวอลเล็ต : ในวันที่ 25 เม.ย. 2568 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อม นายสมชาย แสวงการ อดีตสว.และนายเจษฎ์โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา นักเคลื่อนไหว เข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ถึงการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา144 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568

โดยระบุว่า มีการกระทำความผิดในรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณเกี่ยวกับเรื่องของการให้เงินกู้ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้ แบ่งเป็น 1.ปรากฏว่าได้ผ่านวาระ 1 เข้าไปแล้ว แต่ต่อมา ครม. ได้มีมติตัดงบประมาณ 35,000ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา 28 ซึ่งเอามาใช้ในกิจกรรมและต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว

กับ 2.กรรมาธิการงบฯ รับรู้ มีการพูดกันอยู่ในการประชุมครั้งที่ 38 มีการถกเถียงกันถึงมาตรา 144 แต่ต่อมาก็ให้ผ่านงบ ซึ่งในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ถอดถอนงบประมาณนี้ อนึ่ง  รัฐธรรมนูญปี 60 ได้ระบุไว้เป็นครั้งแรกว่า แม้แต่ครม.รู้ว่ามีการกระทำแต่ไม่ยับยั้งก็ให้ถอดถอนครม.ทั้งคณะ และยังเป็นครั้งแรกที่ให้อำนาจ ป.ป.ช.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถอดถอนครม. สส. และ สว. หากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล อีกทั้งให้เรียกเก็บเงินทั้งหมดที่เอาไปทำเสียหายคืนแก่แผ่นดินภายใน 20 ปี

จากนั้นมีรายงานว่า ในวันที่ 9 มิ.ย. 2568 มีรายงานว่า ป.ป.ช. มีมติให้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่ เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้า น.ส.แพทองธาร คณะรัฐมนตรี รวมถึงคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)สมาชิกวุฒิสภา (สว.)และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

กรณีที่ร่วมกันจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กรณีการร่วมกันเสนอ ขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงรายจ่ายงบประมาณสำหรับ‘ใช้หนี้’ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่งวงเงิน3.5หมื่นล้านบาท และนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง(5)ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ(Digital Wallet)3.5หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง

ทางฝ่ายคนในรัฐบาล อาทิ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาชี้แจงว่า การนำงบประมาณที่กมธ.ปรับลดจำนวน35,000ล้านบาท ไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่เข้าข่ายข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา144ที่เป็นการห้ามแปรญัตติปรับลด หรือตัดทอนรายการ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และ เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย

อธิบายว่า รายการทั้ง 3 นี้ เรียกว่ารายการงบประมาณเพื่อชำระหนี้ภาครัฐเป็นหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันและหนี้ของรัฐวิสาหกิจ รวม 7 หน่วยงาน เป็นหนี้สาธารณะที่บังคับให้รัฐต้องตั้งงบประมาณชดใช้ทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศจะเอาแต่กู้แต่ไม่ใช้คืน ประเทศก็จะล้มละลาย รายการทั้งสามนี้จึงห้ามกรรมาธิการปรับลดตามรัฐธรรมนูญมาตรา144 วรรคแรก

ขณะที่รายการส่วนที่ปรับลดไป35,000ล้านบาท เป็นงบประมาณในส่วนที่กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 5 แห่งได้ทบทวนงบประมาณในส่วนที่สามารถชะลอการดำเนินการได้และเป็นงบประมาณในส่วนของการชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐอันเกิดจากโครงการของรัฐบาลซึ่งรัฐต้องรับภาระชดเชยให้ โดยสามารถที่จะมียอดค้างได้ ทั้งหมดรวมกันไม่เกินร้อยละ32ของงบประมาณแผ่นดิน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด

ดังนั้นงบประมาณ35,000ล้านบาท ที่นำไปใช้ในโครงการDigital Wallet แจกเงินนึ่งหมื่นบาทที่เป็นประเด็นร้องเรียน จึงมิใช่งบประมาณชำระหนี้ภาครัฐ ที่รัฐธรรมนูญมาตรา144ห้ามแตะต้องแต่อย่างใด เท่าที่ตรวจสอบดู การแปรญัตติตอนจัดทำงบประมาณปี2565ก็ดำเนินการทำนองนี้เช่นกัน ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ป.ป.ช. จะมีคำวินิจฉัยอย่างไร และหากชี้มูลว่ามีความผิด ก็จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดขั้นสุดท้ายอีกครั้ง

นี่ยังไม่ต้องนับ “เรื่องยิบย่อย” อีกเพียบจากบรรดา “นักร้อง” ที่เก็บทุกเม็ดแม้กระทั่ง “ทำท่ามินิฮาร์ท” ถ่ายรูปรวมคณะรัฐมนตรี ซึ่งหลายเรื่องเป็นข่าวขึ้นมาแล้วก็เงียบไปบ้าง หรือหน่วยงานปัดตกไปบ้าง จนกระทั่งมาถึง...

- คลิป (เสียง) หลุด “หลานอิ๊งค์ – อังเคิลฮุน” สะเทือนใจคนไทย : ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา เริ่มจากการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่าย บริเวณช่องบก ลามไปสู่มาตรการตัดลดการเดินทางและการขนส่งสิ่งของต่างๆ ระหว่างกันของทั้ง 2 ประเทศ โดยฝ่ายกัมพูชา เรียกร้องให้นำ “ปราสาท 3 หลัง” บวกกับพื้นที่ช่องบก ที่อ้างว่ามีข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนกับไทยไปให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” ตัดสิน ในขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันไม่รับอำนาจศาลโลก และขอให้กัมพูชาเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี อย่างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่ตั้งขึ้นตามบันทึกความเข้าใจของทั้ง 2 ประเทศ ตั้งแต่เมื่อปี 2543 (MOU43)

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอดีตผู้นำกัมพูชาอย่าง ฮุน เซน  จะ “ไม่ไว้หน้า” นายกฯ แพทองธาร ทั้งที่ตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน โดยมีรายงานเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 ว่า มีการ “ปล่อยคลิป” ที่มีเสียงของ น.ส.แพทองธาร พูดถึง “แม่ทัพภาคที่ 2” ว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” แถมยังสำทับด้วยว่า “อยากได้อะไรขอให้บอกว่า” โดย ฮุน เซน ระบุว่า เป็นการสนทนากันผ่าน “นายฮวด” ล่ามชาวกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2568

แม้ว่า น.ส.แพทองธาร จะยอมรับว่าเป็นคลิปจริง และพยายามชี้แจงว่าเป็นเพียง “เทคนิคการเจรจา” แต่ความไม่พอใจก็ลุกลามไปทั่วทั้งประเทศ เกิดกระแสเรียกร้องให้ “ลาออก” จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากนั้นในวันที่ 20 มิ.ย. 2568 มีรายงานว่า นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. ตามคำเรียกร้องของคณะ สว. เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2568 ขอให้ประธานวุฒิสภาส่งหนังสือกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อ ป.ป.ช. เพื่อไต่สวนและมีความเห็นว่า ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 

นอกจากนั้น “ยังทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค3 ประกอบมาตรา 82ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร.ชินวัตรนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดองเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา160 (4)และ. (5) หรือไม่” ซึ่งสืบเนื่องจาก พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร ได้รวบรวมรายชื่อ สว. เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี

จนมาถึงวันที่ 1 ก.ค. 2568 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ รับคำร้องของคณะ สว. จำนวน 36 คน ไว้พิจารณา และมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่ในวันเดียวกัน น.ส.แพทองธาร แถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล หลังทราบคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ว่า ตนน้อมรับคำพิจารณาของศาลและต่อจากนี้จะหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งไม่แน่ใจระยะเวลา แต่มีเวลา 15 วัน ที่จะชี้แจง

ตนก็จะทำให้เต็มที่ในการที่จะบอกความตั้งใจที่แท้จริง ว่าเรื่องของคลิปเสียงที่หลุดออกมา ความตั้งใจและเจตนาจริงๆ เกิน 100% คือตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของเรา รักษาชีวิตของกองทัพและทหารทุกคน เพื่อสันติภาพที่จะเกิดขึ้นในประเทศของเรา ตนมั่นใจในสิ่งนี้มากๆ แต่วิธีการที่ทำอาจจะถูกใจและไม่ถูกใจใครหลายๆ คน แต่ตนก็จะพยายามพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ว่า เป็นความตั้งใจเป็นความพยายามเกิน 100% ที่จะทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ

“เจตนาไม่มี ไม่ได้อยากได้อะไรเป็นของตัวเอง และคิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และทำอย่างไรที่จะไม่ต้องสู้รบกัน ทหารไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะดิฉันเองก็คงรับไม่ได้ ถ้าพูดอะไรกับผู้นำแล้วทำให้เกิดผลเสีย เกิดการทะเลาะ เกิดการโกรธเคือง ถ้าลองฟังดูจริงๆ ก็จะเข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร นี่คือสิ่งที่ตั้งใจและจะใช้เวลาที่สามารถชี้แจงได้ ชี้แจงให้ได้อย่างครบถ้วน ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจ” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ย้อนดูอดีตนายกฯ ไทย ที่เคยเผชิญข้อกล่าวหาจนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ในยุค ‘รธน.60’ : ก่อนจะมาถึง น.ส.แพทองธาร เคยมีนายกรัฐมนตรี 2 ท่าน ในช่วงที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 แล้วมีเรื่องร้องเรียนให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และผู้ร้องยังขอให้ศาลมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว ดังนี่

“บิ๊กตู่ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กับกรณี “นายกฯ ห้ามเป็นเกิน 8 ปี ต้องนับตั้งแต่เมื่อใด?” ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2565 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 2 ประกอบมาตรา 158 วรรค 4 หรือไม่ไว้พิจารณาวินิจฉัยหลังพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบตามคำร้องแล้วเห็นว่ากรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 7 (9)

นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2565 เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย กระทั่งในวันที่ 30 ก.ย. 2565 ก็มีบทสรุปออกมาว่า “ลุงตู่ได้ไปต่อ” โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมา  6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ครบ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่กำหนด โดยชี้ว่า ให้เริ่มนับวาระนายกฯ ตามในวันที่ 6 เม.ย. 2560 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีผลบังคับใช้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ จนประกาศยุบสภาในวันที่ 20 มี.ค. 2566 เพื่อให้มีการเลือกตั้ง สส. ชุดใหม่

“เสี่ยนิด – นายเศรษฐา ทวีสิน” กับกรณี “แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่มีประวัติถูกศาลสั่งจำคุก” ในการประชุมร่วมของรัฐสภา (สส. และ สว.) วันที่ 22 ส.ค. 2566 นายเศรษฐา เป็นตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย คนแรกจากที่พรรคเสนอไว้ 3 คน ที่ถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นถึง 482 เสียง แบ่งเป็น สส.330 เสียง สว. 152 เสียง

กระทั่งในวันที่ 23 พ.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา48คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา นายกฯ และนายพิชิต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160(4) และ (5) หรือไม่

จากกรณีนายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายพิชิตเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมา 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้นายเศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่

กระทั่งวันที่ 14 ส.ค. 2567 บทสรุปออกมาว่า “เสี่ยนิดไม่ได้ไปต่อ” เพราะศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัย  นายเศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหลังจากนั้น ในวันที่ 16 ส.ค. 2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (มีเฉพาะ สส. ไม่รวม สว. เนื่องจากพ้นระยะ 5 ปีแรกของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่การเลือกนายกฯ ต้องใช้ทั้งเสียง สส. และ สว. ไปแล้ว) มีมคิ 319 เสียง ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย คนที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อจากนายเศรษฐา

จะเห็นว่า กรณี พล.อ.ประยุทธ์ (ที่ได้อยู่ต่อ) ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาประมาณ 1 เดือน ขณะที่นายเศรษฐา (ที่ไม่ได้ไปต่อ) ใช้เวลาพิจารณานานกว่า 2 เดือน ซึ่งก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า กรณีของ “อุ๊งอิ๊งค์ – แพทองธาร” ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาเท่าใดในการพิจารณา

สุดท้ายแล้ว “บทสรุป” ที่รออยู่ปลายทางจะเป็นอย่างไร?

#ทีมข่าวแนวหน้า

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top