จัดระเบียบ‘ดงขมิ้น’!เปิด 24 ข้อเสนอแผนปฏิรูปวงการสงฆ์-พระพุทธศาสนา

11 กรกฎาคม 2568 นายกรณ์ มีดี หัวหน้าพรรคแผ่นดินธรรม เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย  และนักเคลื่อนไหวชาวพุทธชื่อดัง  โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “กรณ์ มีดี” ระบุว่า...

แผนการณ์การปฏิรูปการพระพุทธศาสนา ฉบับ นายกรณ์ มีดี มีดังนี้

1. ปรับโครงสร้างการบริหารงานมหาเถระสมาคม กำหนดให้มีสังฆสภา และมีสังฆมนตรี โดยให้มหาเถระสมาคม ทำหน้าที่เป็นสภาสูง มีหน้าที่กลั่นกรองมติที่ออกมาจากสังฆสภา ว่าเหมาะสมถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยมากน้อยแค่ไหน

2. ปรับโครงสร้างการ ขึ้นดำรงตำแหน่งของเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เจ้าคณะที่จะขึ้นตำแหน่งต้องอยู่ในพื้นที่นั้นเท่านั้น หากหาไม่ได้จริงๆจะนำพระจากที่อื่นมาเป็นเจ้าคณะนั้น พระรูปนั้นจะต้องย้ายมาอยู่พื้นที่นั้นแบบเด็ดขาด และไม่มีการขึ้นสู่ตำแหน่งโดยทางลัด เช่น ในปัจจุบันที่มักจะมีการตั้งให้พระที่ใกล้ชิดพระผู้ใหญ่ไปเป็นรองเจ้าคณะภาคซักระยะ แล้วหลังจากนั้นเมื่อตำแหน่งเจ้าคณะภาคว่าง ก็จะให้รองเจ้าคณะภาคขึ้นเป็นเจ้าคณะภาคทันที โดยไม่ผ่านการเป็นเจ้าคณะตำบลเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะจังหวัด ส่งผลให้พระที่เก่งไม่ยอมออกไปอยู่ต่างจังหวัดจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพเท่านั้นเพราะใกล้ชิดพระผู้ใหญ่

3. กำหนดให้มีศาลสงฆ์ โดยศาลสงฆ์ ต้องมาจากพระวินัยธรกับพระธรรมธรในสัดส่วนที่เท่ากัน และที่พักสงฆ์สำหรับพระที่ทำผิดพระวินัยหรือกฎของสังฆสภา

4. ห้ามเจ้าคณะปกครองเรี่ยไรเงินจากวัดต่างจังหวัด ตรงกันข้ามพระผู้ใหญ่หรือวัดที่มีรายได้จำนวนมาก และเจ้าคณะปกครอง ต้องนำรายได้ไปช่วยเหลือวัดที่มีรายได้น้อย

5. แก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ มาตรา 29 และ 30 และมาตราสุดท้าย ที่กำหนดให้พระสังฆาธิการเป็น เจ้าพนักงาน ให้ตัดคำว่าพระสังฆาธิการเป็นเจ้าพนักงานออก

6. แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่อง การห้ามพระไม่ให้ไปเลือกตั้งรวมถึงห้ามไม่ให้ลงรับสมัครรับเลือกตั้งออก โดยกำหนดให้องค์กรสูงสุดของแต่ละศาสนาไปออกข้อกำหนดกันเอง หรือกรณีจะห้ามก็ต้องห้ามทุกศาสนา แต่ความเป็นจริงควรตัดทิ้ง

7. ปฏิรูปสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้เป็นองค์กรอิสระ มีคณะกรรมการจำนวน 9 รูป/คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งหรือการคัดเลือกจากเจ้าคณะจังหวัดสังฆสภาและองค์กรพุทธที่ได้รับการรับรอง

8. ออก พ.ร.บ. ส่งเสริมและคุ้มคุ้มครองพระพุทธศาสนา

9. ตั้งธนาคารพุทธ โดย บังคับให้เงินทุกวัดและพระทุกรูป รวมถึงที่พักสงฆ์ที่ยังไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล ให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารพุทธ เท่านั้น

10. ปฏิรูปวิชาพระพุทธศาสนาในชั้นเรียน โดยยกเลิกตำราที่มีทั้งหมดที่สอนนักเรียนทั้งระดับประถมและมัธยม โดยเปลี่ยนให้เป็นชั่วโมงสมาธิภาวนา โดยกำหนดให้มีการฝึกทำสมาธิภาวนา โดยไม่มีการบังคับให้เด็กที่นับถือศาสนาอื่นนั้น มาฝึก และกำหนดให้นักเรียนที่เข้าอบรมนี้แค่ผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น แต่บังคับให้นักเรียนทุกคนต้องผ่านวิชานี้โดยให้แต่ละศาสนากำหนดวิชาให้เด็กนักเรียนฝึกแตกต่างกันไป โดยไม่กำหนดเป็นคะแนน และไม่บังคับให้เด็กฝึกอบรมต่างศาสนา และอาจมีวิชาที่ให้บังคับเลือกสำหรับผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย ไปเรียนหรือทำกิจกรรมแทน

11. ยกเลิก ระบบการเรี่ยไรเงินโดยการแจกซองผ้าป่าด้วยการเดินไปตามบ้านต่างๆ แต่สามารถเชิญชวนให้คนมาบริจาคได้ภายในวัดหรือผ่านโซเชียล

12. ห้ามมีการปลุกเสก วัตถุที่นอกเหนือจากที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์ และในการที่ปลุกเสก จะต้องมีการตรวจสอบจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติควบคู่กับเจ้าคณะพระสังฆธิการ ว่าจะมีการผลิตจริงเท่าไหร่ผลิตจากแหล่งไหน

13. กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ และงานบวช ของทุกวัด โดยให้คิดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเท่านั้น และอัตราค่าใช้จ่าย จะต้องผ่านความเห็นชอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและเจ้าคณะปกครอง สังฆสภา และสังฆมนตรี

14. กำหนดให้พระที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ จะต้องดูแลพระที่ตัวเองบวชให้ทุกรูปจนกว่าจะพ้น 5 พรรษา ตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ และในระหว่างที่พระยังไม่ครบ 5 พรรษา จะต้องมาทบทวน หลักพระธรรมวินัย โดยเฉพาะต้องคล่องแคล่วในพระวินัยกันถ้วนหน้า และต้องตรวจสอบความประพฤติของพระที่ตนเองบวชให้ว่าไม่ทำผิดเพราะวินัย

15. กำหนดให้มีกองทุนต่างๆดังนี้ กองทุนช่วยเหลือพระอาพาธ กองทุนช่วยเหลือสาธารณูปโภควัดในถิ่นทุรกันดาร กองทุนช่วยเหลือการศึกษาพระหนุ่มเณรน้อย โดยเงินที่มาในกองทุนนี้ จะต้องจัดหามาจากเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ที่เป็นระดับปกครอง โดยห้ามเรี่ยไรจากเจ้าอาวาส ที่อยู่นอกพื้นที่เขตที่เจริญ โดยวัดที่มีมีรายได้สูงต่างๆนั้นต้องบริจาคเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ และใช้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ

16. ส่งเสริมให้ทุกวัด เปิดสอนกรรมฐาน โดยกำหนดโมเดลจาก ส่วนกลาง และใช้โซเชียลจากส่วนกลางในการฝึกสอน

17. จัดทำตาราง สำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมในหลักสูตรหนึ่งวันสามวันห้าวันเจ็ดวัน 10 ห้าวันหนึ่งเดือน ให้เป็นระบบเหมือนกันทั้งประเทศ

18. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษดังนี้ หน่วยปฏิบัติการตรวจสอบผู้ใช้โซเชียลโจมตีคณะสงฆ์ที่ไม่เป็นความจริงหรือบิดเบือนความจริง หน่วยปฏิบัติการตรวจสอบพระที่บิณฑบาตผิดเวลาหรือเป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือเรี่ยไรเงิน หรือรับบาตรวนสิ่งของกับแม่ค้า หน่วยปฏิบัติการตรวจสอบพระที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย หน่วยปฏิบัติการตรวจสอบวัดที่สอนออกนอกแนวทางพระไตรปิฎก

19. ตั้งศูนย์คอลเซ็นเตอร์ รับฟังเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับงานพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์เดียวที่รับฟังจาก ทั่วประเทศ รวมถึงพระไทยที่อยู่ในต่างประเทศ

20. สร้างพระที่มีคุณภาพ แล้วส่งไปอยู่วัดร้างต่างๆทั่วประเทศ โดยกำหนดให้พระที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ที่อยู่ประจำนั้นมีจำนวนน้อยที่สุด และให้กระจายพระออกไปอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดให้มากที่สุด

21. ออกกฎหมายลงโทษ ผู้ตั้งตัวเป็นเจ้าสำนัก ที่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่ใช้หลักคำสอน หรือพระพุทธรูป หรือรูปเหมือนพระสงฆ์ ไปแสวงหาเงิน หรือผลประโยชน์ทุกอย่าง มาเข้าสู่ ตนเองและสำนัก ยกเว้นเป็นสำนักที่ได้รับ การรับรองจากสังฆสภา

22. ออกกฎหมายลงโทษ พระระดับเจ้าปกครอง ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาสขึ้นไป ที่ละเมิดอาบัติปาราชิกข้อเสพเมถุน ยกเว้น เมื่อเสพเมถุนแล้ว รีบลาสิกขาออกไปภายใน 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่การเสพเมถุนครั้งแรก โดยให้มีโทษจำคุกฐาน บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา

23. ออกมาตรการ ให้การช่วยเหลือพระในสามจังหวัดชายแดนใต้ และชาวพุทธที่อยู่ในสามจังหวัดชายแดนใต้

24. ออก พ.ร.บ. บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา (อาศัยการออก พ.ร.บ. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ที่กำหนดให้รัฐต้องมีมาตรการมิให้มีการบนทำลายพระพุทธศาสนาทุกกรณีและสนับสนุนให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในมาตรการต่างๆ ) โดยมีบทลงโทษสูงสุดถึงจำคุก โดยในพ.ร.บ.นี้จะมีการลงโทษ พระที่เสพเมถุน หากไม่ลาสิกขา ตั้งแต่เสพเมถุนครั้งแรกภายใน 24 ชั่วโมง ต้องโทษจำคุก และผู้หญิงที่เข้าหาพระเพื่อหลอกลวงหลอกล่อให้พระ 10 เมถุนก็ต้องโทษจำคุกเช่นเดียวกัน

แผนการเหล่านี้ ได้ศึกษามาเป็นระยะเวลายาวนาน ก่อนนำมาเสนอต่อชาวพุทธ