วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โชว์ผลงานแห่ง ปี 2568 เปิดแฟ้ม 10 คดีดัง รุกหนัก จับจริง สาวถึงต้นตอ ตาม DNA สอบสวนกลาง
ปี 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) มีผลงานการจับกุมคดีสำคัญหลายคดี ซึ่งหลายคดีเป็นคดีอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และจิตใจของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 29,413 คดี หากคิดเฉลี่ยเป็นรายวัน สามารถจับกุมได้ 80 กว่าคดีต่อวัน
.jpg)
เราจะพามาเปิดแฟ้มย้อนผลงานการจับกุม 10 คดีสำคัญ ประจำปี 2568
เริ่มกันที่ คดีแรก สะเทือนวงการสงฆ์ ที่เรียกได้ว่าเขย่าวงการผ้าเหลืองอย่างหนัก เมื่อ ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) โดย กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สนธิกำลังกับ ป.ป.ท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดปฏิบัติการ‘นารีพิฆาตพระ’ จับกุม น.ส.วิลาวัลย์ฯ หรือ ‘สีกากอล์ฟ’ คาบ้านพักย่านนนทบุรี ในข้อหา สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ-รับของโจร-ฟอกเงิน หลังพบเสพเมถุนกับพระ 9 รูป ขณะที่เงินในบัญชีสีกากอล์ฟ พบหมุนเวียน 385 ล้านในรอบ 3 ปี เส้นเงินส่วนใหญ่พบเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน
คดีนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจนนำไปสู่การเปิดความลับของการกระทำผิดวินัยสงฆ์ของพระผู้ใหญ่หลายวัดดัง เริ่มเรื่องตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.68 สีกากอล์ฟมีลักษณะการกรรโชกทรัพย์
อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพฯ ก่อนจะย้อนข้อมูลพบว่า ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันจริง ตั้งแต่ช่วงพ.ค.67 ก่อนจะห่างกันไป กระทั่งฝ่ายหญิงพยายามเรียกค่าเลี้ยงดู รวมกว่า 7 ล้านบาท กระทั่งอดีตเจ้าอาวาสฯจึงตีตัวออกห่าง ก่อนที่เรื่องราวจะถูกเปิดเผยออกมา
นำไปสู่การสืบสวนพบเส้นทางการเงินระหว่างหญิงผู้นี้เกี่ยวข้องกับพระหลายวัด จึงนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว พร้อมเข้าตรวจค้นบ้านของสีกากอล์ฟตรวจยึดหลักฐานทางคดีได้มากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น พบภาพและคลิปพระอีกหลายรูป ที่ผู้ต้องหาเตรียมไว้กรรโชกทรัพย์หรือแบล็คเมล์
.jpg)
สีกาคือสารตั้งต้น เช่นเดียวกับคดีการจับกุม ทิดแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง หลังพบยักยอกเงินวัดหลายร้อยล้านบาท ก่อนพบโอนเข้าบัญชีของ น.ส.อรัญญาวรรณ หรือสีกาเก็น ที่มีความสัมพันธ์กัน และเป็นผู้ต้องหาในคดีเว็บพนันออนไลน์ คดีนี้เป็นผลงานของ กองบังคับการปราบปราม ร่วมกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังได้รับหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ตำรวจกองปราบจึงส่งสายลับแฝงตัวเข้าใช้ชีวิตในวัดไร่ขิงนาน 8 เดือน เฝ้ารวบรวมหลักฐานจนสุดท้ายศาลออกหมายจับ ตรวจพบว่าบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง 51 บัญชี พบอดีตเจ้าอาวาส 21 บัญชี สีกาเก็น 12 บัญชี และอื่นๆ โดยบัญชีของสีกาเก็น มีเงินหมุนเวียน 2,000 ล้าน ซึ่งในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายพนันออนไลน์ นอกจากนี้ตำรวจยังมีหลักฐานภาพ เสียง และคลิปส่วนตัวระหว่างอดีตเจ้าอาวาสฯ กับสีกาเก็น ที่ยืนยันความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ เพื่อรีดเงินตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ปฏิบัติการกวาดลานวัดทั้ง 2 คดีข้างต้น เป็นนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เน้นย้ำให้ตำรวจ CIB ให้ความสำคัญ สั่งการให้ดำเนินการกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวงการสงฆ์ หรือบุคคลใดก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กระทำความผิดหรือทุจริต โดยให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส เพื่อปราบปรามและยับยั้งการกระทำลักษณะนี้เด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น และเป็นมาตรฐานในการสืบสวนพระทั่วประเทศ พร้อมกับเปิดรับการแจ้งเบาะแส พระนอกรีต ผ่านทาง “ศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา” ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ CIB เป็นผู้รับผิดชอบหลัก


2. ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) จับกุมตัว นายอลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ”หรือ นายเสกสันน์ฯ กรณีทุจริตยักยอกเงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุ หลังมีผู้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.1 บก.ป.ว่า นายเสกสันน์ฯ หรือ หมอบี ที่เปิดขอรับบริจาคเงินผ่านโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กชื่อเพจ “งมงาย สไตล์หมอบี” ได้อ้างว่าตนเป็นสะพานบุญ ชวนทุกคนร่วมทำบุญ เพื่อส่งมอบให้กับวัดพระบาทน้ำพุ ในการนำไปใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และตามวัตถุประสงค์ต่างๆของวัดพระบาทน้ำพุ แต่ในความเป็นจริงแล้วหมอบี กลับมีพฤติการณ์ทุจริตเงินบริจาคของวัดดังกล่าว สืบสวนจนพบว่านอกจากหมอบีจะไม่ได้นำเงินที่ได้จากการบริจาคไปมอบให้กับวัดพระบาทน้ำพุทั้งหมดตามที่กล่าวอ้างแล้ว ยังมีการนำเงินไปมอบให้นายอลงกตฯ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น และไม่ได้ถูกนำเข้าระบบของวัดอย่างถูกต้อง แต่นายอลงกตฯ กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน ซึ่งตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2568 มีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวกว่า 300 ล้านบาท จึงนำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐาน เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 17 จุด พร้อมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองราย
ล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย.68 ตำรวจ CIB ขยายผลจนนำไปสู่ Operation Endgame ปฏิบัติการ “คืนศรัทธา บอกลางมงาย สไตล์ CIB” ทวงคืนทรัพย์สินสู่วัดพระบาทน้ำพุ สามารถติดตามทรัพย์สินที่ถูกนำไปซุกซ่อนในชื่อบุคคลอื่นกลับคืนมาให้วัดได้อีกจำนวนมหาศาล ประกอบด้วย โฉนดที่ดินและเอกสารสิทธิ์รวมกว่า 7,200 ไร่ และยานพาหนะอีก 60 คัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท

3. กองบังคับการปราบปราม เปิดปฏิบัติการ Cut Down Scam สยบเครือข่ายค้าข้อมูลส่วนบุคคล 9 ล้านรายชื่อ ต้นตอสแกมเมอร์ หลอกคนไทยเสียหายกว่า 290 ล้านบาท เป็นความร่วมมือภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ร่วมกับ ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ทลายเครือข่ายขายข้อมูลประชาชนที่ถูกใช้ไปสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ หลังเจ้าหน้าที่พบความผิดปกติของการซื้อขายข้อมูล นำไปสู่การที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. จับกุม 6 ผู้ต้องหา พร้อมรายชื่อข้อมูลประชาชนกว่า 9 ล้านรายชื่อ พบมีประชาชนถูกหลอกแล้วกว่า 4,000 คน เสียหายกว่า 290 ล้านบาท ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งทางการ “ตัดวงจรสแกมเมอร์” ทั้งต้นทางและปลายทาง โดยเจ้าหน้าที่จะยังคงเดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจังต่อไป


4. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY” ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้นรวบ15 ผู้ต้องหา (คนไทย 14 ราย, คนจีน 1 ราย) หลังเมื่อเดือน พ.ค.68 หลอกผู้เสียหายลงทุนเทรดหุ้น พร้อมหลอกให้กรอกเบอร์โทร และไอดีไลน์ผ่านเว็บไซต์ปลอมเพื่อร่วมลงทุน จากนั้นติดต่อทางไลน์มาหา อ้างว่าเป็นเลขาฯ ของอาจารย์นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนชื่อดังในไทย เพื่อดูแลเรื่องการลงทุนให้ ชักชวนเข้ากลุ่ม LINE OPENCHAT ที่มีหน้าม้าคอยพูดคุยแนะนำการลงทุนต่างๆ ผ่านไป เดือนกว่าๆ เริ่มวางแผนเชือดเหยื่อด้วยการเสนอโปรเจกต์การลงทุนซื้อขายหุ้น พร้อมทั้งได้สอนวิธีการลงทุนผ่านเว็บไซต์ FINNIXMAX โดยเสนอหุ้นรายตัว พร้อมเป้าหมายการทำกำไร ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินลงทุนผ่านบัญชีม้านิติบุคคล ล่อลวงด้วยการให้กำไรพร้อมให้ถอนเงินออกจากระบบได้จริง ที่มาของการลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ก่อนเหยื่อหลวมโอนไปจำนวนมาก เข้าทางกลุ่มคนร้าย บล็อกช่องทางติดต่อ หนีหาย ก่อนตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ตามรวบไว้ได้ 15 ผู้ต้องหาทั้งไทยและจีน พร้อมของกลาง มูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท


5.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เปิดปฏิบัติการ “Operation Crypto Phantom” กวาดล้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมาย เงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท เข้าตรวจค้น 8 จุด ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จ.ชลบุรี และ กรุงเทพ มีทั้งอาคารพานิชย์ , บ้าน และบริษัทรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. พบว่า ในพื้นที่ กรุงเทพ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต มีร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราแอบแฝงการให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท USD Tether (USDT) แบบ “ชนมือ” หรือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ได้ผ่านศูนย์แลกเปลี่ยนที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย พบธุรกรรมมากกว่า 1,000 รายการ เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรม และมีเงินหมุนเวียนรวมสูงถึง 425,104,595 USDT หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท นำไปสู่ปฏิบัติการดังกล่าวพบ ผู้กระทำผิด อยู่ระหว่างการดำเนินคดี 5 ราย พบพฤติกรรมของเครือข่ายนี้มีลักษณะเป็นการเปิด “โต๊ะแลกคริปโต” ให้ลูกค้าชาวต่างชาติใช้เงินบาทแลกเหรียญดิจิทัล หรือแลก USDT กลับเป็นเงินบาท แบบไม่ผ่านระบบ Exchange ที่ได้รับอนุญาต ซึ่งนำไปสู่การฟอกเงินในต่างประเทศผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลและ Exchange ต่างชาติ ก่อนกระจายเงินเข้าสู่กลุ่มมิจฉาชีพ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือธุรกิจผิดกฎหมายอื่น โดยการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะ “ชนมือ” หรือการนัดพบเพื่อแลกเปลี่ยน เหรียญดิจิทัลกับเงินสด นอกสถานที่และนอกระบบที่ได้รับอนุญาต ถือเป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งในด้านความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และการมีส่วนร่วมในธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือกิจกรรมผิดกฎหมายอื่น

6.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ร่วมกับกรมสรรพากร เปิดปฏิบัติการ “จบเกมส์กลโกงภาษี - Anti Tax Fraud Operation” ทลายเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม รวม 2 เฟส รัฐเสียหายรวมกว่า 2,100 ล้านบาท เฟสแรกเริ่มเมื่อ ปลายเดือน มิ.ย.68 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น 14 จุด แบ่งเป็น จ.ตาก 11 จุด, เชียงใหม่ 2 จุด และ กทม. 1 จุด จับกุมผู้ต้องหา 10 ราย กระทำผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออกเอกสารดังกล่าว ฯ” , “ร่วมกันเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มฯ ” และ “เจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วย กฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี” หลังกรมสรรพากรตรวจสอบพบการกระทำความผิดของบริษัทเอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ประกอบกิจการนำเข้าส่งออกสินค้าซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีรัฐ จึงประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. สืบสวนจนทราบว่ากลุ่มของผู้ต้องหา ได้จัดตั้งบริษัทดังกล่าว และได้นำบุคคลในครอบครัว และคนรู้จัก จัดตั้งร้านค้าและบริษัท ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) จำนวนกว่า 20 แห่ง แล้วแสร้งทำทีว่ามีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันเป็นทอดๆ โดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริงๆ มีเจตนาหลักฐานการซื้อขายเท็จเพื่อทำให้ราคาของสินค้าสูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะมีการออกใบกำกับภาษีระหว่างร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายของตนในลักษณะหมุ่นวนกันไปมาเป็นทอดๆ (การซื้อขายเป็นทอดๆ วนกันไปมาเช่นนี้ จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น รวมทั้งทำให้ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7%” เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าด้วย) และใช้บริษัทเอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ซึ่งจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการส่งออก ทำการซื้อสินค้าทอดสุดท้าย ซึ่งสินค้าจะมีราคาที่สูงเกินจริง และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ก็จะสูงมากขึ้นตามไปด้วย แล้วส่งออกสินค้าเดียวกันนี้ไปยังประเทศเมียนมา โดยลูกค้าฝั่งเมียนมาที่มาซื้อสินค้าก็เป็นคนของเครือข่ายด้วย เพื่อสร้างภาพและสร้างหลักฐานของการส่งออกสินค้า สำหรับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ที่มาจากมูลค่าสินค้าอันเป็นเท็จต่อกรมสรรพากร จากห้วงระยะเวลาปี พ.ศ.2564 - 2565 พบว่า กลุ่มเครือข่ายของผู้ต้องหา ได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร เป็นจำนวนเงินกว่า 150 ล้านบาท และจากการประเมินภาษีพบว่ามีมูลค่าความเสียหายจากการกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งเครือข่ายเป็นจำนวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 10 ราย
ต่อมาเดือน พ.ย.68 ตำรวจ CIB เดินหน้า เฟส 2 จับกุมผู้ต้องหาอีก 9 ราย ตรวจค้นเพิ่มอีก 11 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.ตาก, จ.เชียงใหม่, จ.ลำปาง และกรุงเทพมหานคร การขยายผลในระยะที่ 2 นี้ พบร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายอีก 7 แห่ง ที่ใช้แผนประทุษกรรมเดียวกัน และยังพบรูปแบบใหม่คือ มีบริษัทนอกเครือข่ายที่ประกอบกิจการจริง แต่กลับร่วมกระทำผิดโดยการออกใบกำกับภาษีที่ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง (ขายบิล) ให้กับบริษัทส่งออกของเครือข่ายฯ เพื่อรับค่าตอบแทน ซึ่งการตรวจสอบในระยะที่ 2 นี้ พบมูลค่าความเสียหายเพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาท รวมความเสียหายทั้ง 2 ระยะกว่า 2,100 ล้านบาท
.jpg)
7. กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ปฏิบัติการ “ปิดสวิตช์ ดิสโมนาช” Switch-Off Discord Monarch รวบกลุ่มแอดมินทั้งหมด 7 ราย และจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่ไลฟ์สดในลักษณะอนาจารอีก 4 ราย หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปคม. ตรวจสอบแอปพลิเคชัน Discord ชื่อเซิร์ฟเวอร์ “Monarch V2” หรือ “Monarch” นำเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี หลายราย มาไลฟ์สดในลักษณะลามกอนาจาร พร้อมเรียกเงินจากผู้เข้าชม โดยเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าว มีสมาชิกติดตามมากถึง 117,872 คน มิหนำซ้ำยังจัดการอย่างเป็นระบบ แบ่งหมวดหมู่ต่างๆ โดยหมวดหมู่ที่พบการกระทำความผิดชื่อ “NIGHTCLUB” และมีการแบ่งช่องย่อยสำหรับบริหารจัดการระบบการไลฟ์สด อีกทั้งยังมีกลอุบาย "ปั่นยอด TOP1" โดยจะประกาศว่าใครที่โอนเงินสนับสนุนมากที่สุดในการไลฟ์สดแต่ละครั้ง จะได้รางวัลใหญ่คือการนัดเจอและมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวคนที่ไลฟ์สดนั้น แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการตบตา เมื่อมีผู้เข้าชมโอนเงินเข้ามาเพื่อชิงตำแหน่ง TOP1 กลุ่มผู้กระทำความผิดจะสั่งให้ทีมงานโอนเงินแข่งเพื่อปั่นราคาให้สูงขึ้นไปอีก จนผู้เข้าชมคนนั้นยอมแพ้ไปเอง และเงินที่โอนมาแล้วทั้งหมดจะไม่คืนให้
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังเข้าช่วยเหลือเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ 17 ปี เหยื่อจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกบุคคลที่รู้จักกันในแอปพลิเคชัน Discord รายหนึ่ง ชักชวน ให้มาทำงานไลฟ์สดแลกเงิน โดยแอดมินจะหักค่าหัวคิว หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จะถูกหัก 50% โดยอ้างว่าเป็น "ค่าความเสี่ยง" แต่หากอายุเกิน 18 ปี จะหัก 25% เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมหลักฐาน ก่อนจับกุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้


8. กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับ ศปอส.ตร. และ ปปง. เปิดปฏิบัติการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ” รวบผู้ต้องหา 29 ราย ยึดทรัพย์ 10,000 ล้านบาท
ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ภายใต้ยุทธการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ สะเทือนทั้งวงการ” เพื่อตัดวงจรเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์และเส้นทางฟอกเงินที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยการสืบสวน ของตำรวจ กก.3 บก.ป. เชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายต่างชาติ มีนายทุนใหญ่ชาวกัมพูชาเป็นศูนย์กลางและมีการใช้ธุรกิจบังหน้าเพื่ออำพรางเงินผิดกฎหมาย เข้าตรวจค้น
รวม 50 จุด ในพื้นที่ 22 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมออกหมายจับผู้กระทำผิดทั้งหมด 42 ราย สามารถจับกุมได้แล้ว 29 ราย และอยู่ระหว่างติดตามตัวอีก 13 ราย โดยมีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ต่างประเทศ 3 ราย ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาเป็นหัวหน้าอั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกงประชาชน สมคบฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน พร้อมยึดทรัพย์สินกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งรถหรู เรือยอร์ช เงินในบัญชี ที่ดิน ฯลฯ


9. กองบังคับการปราบปราม เปิดปฏิบัติการ TAKE DOWN MAFIA ทลายเครือข่ายยานรก - ซุ้มมือปืน – ผู้มีอิทธิพล หลายซีซั่น เป็นปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มสีเทาในพื้นที่ภาคใต้ มาตั้งแต่ปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภารกิจหลักของกองบังคับการปราบปราม โดยเน้นทลายเครือข่ายต้นตอคดีอาชญากรรมทุกชนิด ทั้งยาเสพติด ซุ้มมือปืนและผู้มีอิทธิพล อย่างปฏิบัติการ TAKE DOWN MAFIA : หยุดทางลับยานรก ที่ตำรวจกก.6 บก.ป.จับกุม 5 ผู้ต้องหา การขยายผลจากการปะทะกับผู้ต้องหาค้ายาเสพติด ในพื้นที่จ.ปัตตานี เมื่อปี 2566 ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ก่อนจะจับกุมผู้ต้องได้ทั้ง 2 คน ขยายผลต่อเนื่อง กระทั่งเดือนก.ค. 68 นำกำลังลงพื้นที่ จ.นราธิวาส, จ.นครศรีธรรมราช และ จ.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้ พร้อมยึดทรัพย์ในขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ รวมทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท
และล่าสุดเดือนพ.ย.68 อีกครั้งกับปฏิบัติการ TAKE DOWN MAFIA : Bull Fighting!!! ตัดท่อเงินเทา เจ้าพ่อภาคใต้ รวบผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับเว็บพนันฯ จำนวน 6 ราย ในพื้นที่จ.สงขลา,สตูล, พัทลุง, ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร ตรวจค้นยึดทรัพย์สิน มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท หลังเจ้าหน้าที่สืบสวนจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาคดียาเสพติด มือปืนรับจ้าง และกลุ่มมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รับผิดชอบมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นถึงแผนประทุษกรรมของกลุ่มผู้มีอิทธิพลใช้ในรูปแบบใกล้เคียงกันโดยใช้การพนันวัวชน ไก่ชน ที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายในการหารายได้และฟอกเงิน แล้วนำเงินมาต่อยอดสร้างอิทธิพลแก่ตนเองในพื้นที่ เมื่อมีอิทธิพลก็จะเป็นเหตุตั้งต้นในการกระทำความผิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง ทั้งยังพบว่าเว็บไซต์ดังกล่าว เป็นเว็บพนันออนไลน์ที่มีการจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์วัวชน และไก่ชน ผ่านการถ่ายทอดสดในเว็บไซต์ดังกล่าว และยังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับลูกน้องผู้มีอิทธิพลในภาคใต้มีเงินหมุนเวียนกว่าร้อยล้านบาท เพื่อเป็นการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ยับยั้งอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันที่จะเห็นได้จากข้อมูลจากการสืบสวน ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ จะกระทำความผิดหรือใช้อำนาจที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย


คดีสุดท้าย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ทลายขบวนการ “โจรกรรม-ฟอกขาวรถ” เช่ารถแล้วเชิดหนี ปลอมเอกสารรถแจ้งเปลี่ยนทะเบียน ฟอกขาวรถถูกขโมยให้ถูกกฎหมาย พบเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ทล. จับกุมขบวนการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยรถเช่า ได้ทั้งหมด 9 คน หลังปลอมแปลงเอกสารราชการ ตบตาเจ้าหน้าที่เพื่อขอเปลี่ยนเลขทะเบียน เปลี่ยนจากรถที่ผิดกฎหมายให้กลายเป็นรถถูกกฎหมาย ก่อนจะประกาศขายผ่านทางโซเชียล หลังพบว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ทั้ง กลุ่มตัวการ (Master Mind) ทำหน้าที่สั่งการและเป็นนายทุน, กลุ่มที่ทำหน้าที่โจรกรรมรถ, กลุ่มที่ทำหน้าที่ปลอมและใช้เอกสารราชการฯ ในการฟอกขาวรถที่ได้มาจากการโจรกรรมให้กลายเป็นรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย, กลุ่มที่ทำหน้าที่โพสต์ประกาศขายรถที่ฟอกขาวแล้วลงในโซเชียลมิเดีย และกลุ่มทำหน้าที่รับ-ส่งรถที่ได้มาจากการโจรกรรม (นักบิน) ซึ่งคำให้การผู้ต้องหารับว่า รอบหนึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มคนร้ายได้ทำการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยโดยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 4 คัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท
ทั้ง 10 คดีสำคัญ ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สะท้อนความมุ่งมั่น และตั้งใจปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรูปแบบอย่างจริงจัง
โดยในปีต่อไป พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะยังคงเดินหน้าพาทีมตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ต่อสู้ ปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ด้วย DNA ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สะท้อนผ่านความเป็น “มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี