วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568
“วัยเด็ก” เป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะช่วงปฐมวัยเพราะสมองของเด็กจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การปลูกฝังสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมในช่วงนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนพฤติกรรมเมื่อตอนโต และหนึ่งใน “สื่อ” ที่จะสร้างพัฒนาการการเรียนรู้ต่อสิ่งต่างๆ สำหรับเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ “นิทาน”
ดังนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านและ 23 องค์กร ที่เห็นความสำคัญตรงนี้ จึงได้จัดงานแถลงข่าว “พลังเด็กพลังเครือข่ายรู้ทันทอยพอด” โดยในเวทีนี้ได้มีการเปิดผลสำรวจทักษะพื้นฐานการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและสื่อดิจิทัล (Media Information and Digital Literacy : MIDL) และพฤติกรรมสุขภาพจากการใช้ชุดนิทานเตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า “เด็กปลอดพอด” พร้อมสานพลังภาคี ประกาศมาตรการ “หยุดบุหรี่ไฟฟ้า ภัยร้ายทำลายเด็กไทย“
อาจารย์วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร คณะที่ 8 สสส. ระบุว่า เป้าหมายพิเศษ ระยะ 10 ปี ระหว่าง พ.ศ.2565-2574 สสส. ให้ความสำคัญในด้านการสร้างเสริมสุขภาพทุกด้านและการลดปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะประเด็นภัยที่คุกคามเด็ก แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน เป็นหนึ่งในภาคีสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) จึงได้บูรณาการร่วมกับสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก (สำนัก 1) เครือข่ายอ่านยกกำลังสุข เครือข่ายพลังอ่านชายแดนใต้ พื้นที่ปฏิบัติการเด็กปลอดพอดกว่า 233 พื้นที่ ใช้นิทานเตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า “เด็กปลอดพอด” เป็นเครื่องมือสร้างภูมิคุ้มกัน ให้รู้เท่าทันภัยและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
ทั้งนี้ จากการติดตามผลของ We are happy ใน 16 พื้นที่นำร่อง เด็ก 576 คน พบว่า เด็กวัยอนุบาล ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและประถมศึกษาตอนต้น มีทักษะเท่าทันสื่อ โดยรู้จักแยกแยะระหว่างทอยพอดและของเล่นเข้าใจรู้ถึงภัยของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีผลกับตนเองและครอบครัว เด็กหลายคนร้องขอให้พ่อแม่เลิกบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า เพราะอยากให้พ่อแม่อยู่กับลูกไปนานๆ ฯลฯ โดยจากระดับ 3 คะแนน มีระดับค่าคะแนน ถึง 2.45, 2.83 และ 2.87 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก หากทุกๆ องค์กรนำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวาง จะได้ร่วมกันปกป้องลูกหลานของเรา
.jpg)
ขณะที่ นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. และกลุ่ม We are happy ได้เปิดเผยผลการศึกษาทักษะพื้นฐาน MIDL และพฤติกรรมสุขภาพ ชุดนิทานเตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า “เด็กปลอดพอด” ซึ่ง นางสุดใจย้ำว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยถึงอนุบาล เป็นประเด็นที่ต้องเร่งแก้ไขและให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ข้อมูลที่น่าตกใจชี้ว่า ผู้ปกครองจำนวนมาก ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้บุตรหลานตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เด็กเสพติดได้ในเวลารวดเร็วเพียง 3-4 ครั้ง ซึ่งเร็วกว่าบุหรี่ทั่วไป นอกจากนี้ คุณสมบัติเฉพาะที่ไม่มีกลิ่นเหมือนบุหรี่ทั่วไป แต่กลับมีกลิ่นหอม อาจทำให้เด็กหลงเสพหลายครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังทำลายปอด และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้”
ทางแผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. และภาคีเครือข่ายฯ จึงได้พัฒนาหนังสือภาพสำหรับเด็กและกิจกรรมส่งเสริมการอ่านเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร ซึ่งได้รับการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญงานสร้างสรรค์เด็กระดับแถวหน้าของเมืองไทยเพื่อให้เด็กเล็กสามารถรับรู้เรื่องราวและเข้าใจเนื้อหาได้โดยมีผู้ใหญ่ คุณครู พ่อแม่ ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ทำให้เด็กเรียนรู้เข้าใจ และป้องกันภัยให้ตนเองได้ ที่สำคัญคือ มีข้อมูลสำหรับผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหนังสือแต่ละเล่ม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปกครองหรือครูได้เข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของหนังสือ รวมถึงวิธีที่จะช่วยปกป้องเด็ก
ทั้งนี้ จากการนำนิทานชุดนี้ไปทดลองใช้ในพื้นที่ต้นแบบ 233 แห่ง และเก็บข้อมูลเชิงลึกใน 16 พื้นที่ โดยกลุ่ม We are happy พบว่า ชุดหนังสือสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะจากกิจกรรม “พี่สอนน้องอ่าน” ที่ให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาอ่านนิทานให้รุ่นน้องอนุบาลฟังในโรงเรียน
“นอกจากน้องเล็กจะรู้จักทอยพอดแล้ว นักเรียนรุ่นพี่บางคนถึงกับตกใจและหวาดกลัวมาก เมื่อได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้ปกครองและครูยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เด็กอาจมาสารภาพการใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้”
.jpg)
นางสุดใจ ระบุด้วยว่า สิ่งที่เราคาดคือ หนังสือนิทานนี้จะช่วยให้ ครอบครัวที่ไม่รู้จักอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้าหันมาระมัดระวัง ตระหนักถึงความเสี่ยง หยุดพฤติกรรมดังกล่าว และดูแลสุขภาพปอดและร่างกายมากขึ้น นี่เป็นการตอกย้ำถึง “พลังของหนังสือ พลังของเด็ก” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้รับสารเท่านั้น แต่ยังสามารถเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และป้องกันภัยให้ตนเองได้อีกด้วย
ย้ำว่า หนังสือนิทานชุด “เด็กปลอดพอด” ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้กับเด็ก โดยมีพื้นฐานมาจากความสำเร็จของหนังสือชุดที่เคยจัดทำมาแล้วและประสบความสำเร็จอย่างดีกับทั้งเด็กทั่วไปและเด็กออทิสติก ซึ่งงานวิจัยสถาบันราชานุกูลพบว่า หนังสือสำหรับเด็กออทิสติกสามารถเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กได้เกือบเทียบเท่าเด็กปกติได้ภายใน 2 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังมีการออกแบบนิทาน “อานีสเป็นหัด” เผยแพร่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็สามารถหยุดภัยคุกคาม การเสียชีวิตของเด็กได้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของการผลิตหนังสือชุดนี้ นอกจากนี้ เราได้เชิญ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งกำกับดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนทั่วประเทศ รวมถึงสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้มาร่วมและพิจารณานำหนังสือนิทานเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุก ที่สำคัญในการขยายผลงานที่มีคุณค่าออกไปในวงกว้าง แม้ว่าหน่วยงานจะมีงบประมาณที่จำกัดก็ตาม
“นิทานเล่มเล็กๆ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่งใหญ่ หากผู้ใหญ่มีความเข้าใจจะสามารถส่งมอบเรื่องราวเหล่านี้ไปถึงมือและหัวใจของเด็กได้ การกระทำเช่นนี้จะช่วยสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพบ่มเพาะได้ตั้งแต่ช่วงปฐมวัย (0-8 ปี) สิ่งนี้จะคงอยู่ ติดตัวไปจนโต”
ทั้งนี้ ในส่วนของการเข้าถึงหนังสือ ทาง SOOK Publishing ได้จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในราคาพิเศษ และแผนงานฯ การอ่าน สสส. ยังให้บริการดาวน์โหลดฟรี ผ่านช่องทางออนไลน์ www.happyreading.in.th และเว็บไซต์ธนาคารหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัยออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มพื้นที่ห่างไกลหรือเปราะบาง
ด้าน นางสาวสายใจ คงทน จากกลุ่ม We are happy หนึ่งในผู้ร่วมศึกษาผลสำรวจฯ กล่าวเสริมว่า ผลการศึกษายังพบว่า เด็กในระดับเตรียมอนุบาลก็สามารถตัดสินใจและแยกแยะได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าแตกต่างจากของเล่นตุ๊กตาธรรมดาอย่างไร โดย เด็กอนุบาล อายุ 4-5 ขวบ สามารถสื่อสารและเล่าเรื่องราวจากหนังสือนิทานได้ ส่วนเด็กประถมศึกษาตอนต้น มีทักษะการคิดวิเคราะห์เพิ่มมากขึ้น
.jpg)
สำหรับหนังสือนิทานยอดนิยมจากหนังสือทั้ง 7 เล่ม พบว่าบางเล่มเป็นที่นิยมเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มเด็กผู้ชาย ชื่นชอบนิทานที่มีลักษณะเป็นฮีโร่ มีการ์ตูน และกิจกรรมให้ทำ เช่น เรื่อง “ขบวนการปราบทอยพอด” และ“มาร์สแมนกับยายเช้า” ซึ่งมีตัวละครที่เด็กคุ้นเคยอยู่แล้ว การมีกิจกรรมช่วยให้เด็กจดจำเนื้อหาได้ดี
ส่วนนิทานรองลงมาที่ได้รับความนิยม คือ “อีเล้งเค้งโค้งพับปลอดพอด” เด็กคุ้นเคยกับตัวละคร และจดจำวลีเด็ดติดปากว่า “อีเล้งเค้งโค้ง ไม่เอาทอยพอด” ซึ่งเด็กหลายคนจะพูดตามว่า “หนูก็ไม่เอาทอยพอดเหมือนกัน”
นิทานเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความรู้ความเข้าใจในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเท่านั้น แต่ยังส่งผลในวงกว้างสู่ครอบครัวและชุมชน เด็กๆ ได้กลายเป็น “นักสื่อสารสุขภาวะตัวน้อย” พวกเขานำเรื่องราวจากนิทานไปเล่าให้พ่อแม่ผู้ปกครองฟังที่บ้าน รวมถึงนำกิจกรรม เช่น การวาดรูประบายสี “บ้านปลอดบุหรี่” กลับไปทำด้วย
ทั้งนี้ มีคุณครูผู้สอนสะท้อนด้วยว่า มีผู้ปกครอง มาเล่าให้ฟังว่า เด็กๆ ที่บ้านพูดว่า “ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” และแสดงความห่วงใยต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น การเตือนว่า “อย่าสูบนะ มันอันตรายนะ” อีกทั้งยังส่งผลให้ผู้ปกครองเหล่านี้สนใจยืมหนังสือนิทานเหล่านี้กลับไปอ่านร่วมกับลูกๆ หลานๆ ที่บ้านด้วย แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่ครูจะปฏิเสธไม่ให้เอากลับไป
ดังนั้น การศึกษานี้ ยืนยันได้ว่ากระบวนการเรียนรู้ของเด็กสามารถเกิดขึ้นและเรียนรู้เท่าทันได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาในหนังสือ ผ่านผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคุณครูหรือผู้ปกครอง ที่นำไปอ่านให้เด็กฟัง นิทาน จึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ เข้าใจ และแยกแยะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี