วันเสาร์ ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
โอกาสและความเปราะบาง ‘คนจน’ด้านลบชุมชนเมือง

โอกาสและความเปราะบาง ‘คนจน’ด้านลบชุมชนเมือง

วันเสาร์ ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.
Tag : กลุ่มเปราะบาง คนจนเมือง ชุมชนเมือง
  •  

ผ่านพ้นไปแล้วกับเวที Policy Dialogue “มาตรวัดความเป็นธรรมของคนจนเมือง” ในงาน “เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ ThaiPBS และ The Active เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรหลายท่านร่วมฉายภาพสถานการณ์คนจนเมือง อาทิ ภญ.ดร.ทิพิชา โปษยานนท์ รองเลขาธิการ สช. กล่าวว่า หลักคิดเรื่องความเป็นธรรม เป็นหลักสากล ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุกรอบแนวทางการติดตามปัจจัยด้านสังคมที่ส่งผลต่อความเป็นธรรมด้านสุขภาพ

เช่น การทำงาน รายได้ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ การศึกษา (ทั้งการเข้าถึงและคุณภาพ) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ บริบททางสังคมและชุมชน พฤติกรรมสุขภาพ (ปัจจัยเสี่ยงในการใช้ชีวิต เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ บริโภคอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ อุบัติเหตุบนท้องถนน) และการบริการสุขภาพ ขณะที่ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ วางเป้าหมายระบบสุขภาพเขตเมืองไว้ดังนี้


1.ความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมของประชาชนกลุ่มเปราะบาง 2.ระบบบริการสุขภาพที่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการเฉพาะ เสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน 3.การมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และเอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาวะของผู้คนที่หลากหลาย และ 4.การมีนโยบายสาธารณะในการบริหารจัดการเมืองที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

“สช. อยู่ในระหว่างการทำรายงานสุขภาพในเรื่องนี้ มีการศึกษาเรื่องของตัวชี้วัดต่างๆ ที่จะนำไปสู่รายงานว่าตอนนี้ระบบสุขภาพเขตเมืองของเราเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอทางนโยบายและมีการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้น อย่างเช่นปัญหาที่พบ เช่น เรื่องของการเข้าถึงวัคซีน กลายคนเป็นคนที่อยู่ในเมืองตกหล่นยิ่งกว่าคนที่อยู่ในชนบทเสียอีก หรือการคัดกรองปัญหาเบาหวาน – ความดัน ก็ตกหล่นกว่าอีก อาจเป็นด้วยยุ่งหรือตกสำรวจ มาทำงานในเมืองแล้วชื่ออยู่ที่อื่น ก็เป็นเชิงระบบที่พบปัญหาตรงนี้” ภญ.ดร.ทิพิชา กล่าว

 มนต์ทิพย์ สัมพันธวงศ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. – สภาพัฒน์) กล่าวว่า จำนวนคนจนในไทยลดลงอย่างชัดเจน จากในปี 2531 ที่มีสัดส่วนคนจนในสังคมไทยสูงถึงร้อยละ 60 แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ราวร้อยละ 3 – 4 เท่านั้น โดยวัดจากเส้นความยากจนที่หมายถึงคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 3,000 บาทต่อเดือน

ขณะที่เมื่อลงลึกในรายะละเอียดว่าด้วย “ลักษณะของครัวเรือนยากจน” จะพบว่า “ครัวเรือนยากจนมักมีอัตราการพึ่งพิงสูง” แต่หัวหน้าครัวเรือนซึ่งแบกรับภาระดูแลสมาชิกที่เป็นเด็กหรือผู้สูงอายุมักมีการศึกษาน้อย รวมถึงมักจะอยู่ในภาคเกษตร อย่างไรก็ตาม “มีข้อสังเกตว่า..ในขณะที่คนจนนอกเขตเทศบาล (หรือในชนบท) มีแนวโน้มลดลง คนจนในเขตเทศบาล (หรือในเขตเมือง) แทบไม่เคยลดลง” สะท้อนความซับซ้อนของปัญหาคนจนเมือง ทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยาก

“อย่างเช่นการศึกษา แม้จะอยู่ในเมือง โรงเรียนมีคุณภาพดี ไม่ไกล แต่เราเข้าไม่ถึงเราก็กลายเป็นคนจน หรือคนที่อยู่ต่างจังหวัดเรื่องอาหารการกิน เดินไปท้องไร่ท้องนาเด็ดผักกระถินจิ้มน้ำพริก แต่ในกรุงเทพฯ เราเดินไปไม่มีผักกระถินริมรั้ว ไม่มีตำลึงริมรั้วให้กิน เดินไปขอน้ำบ้านใครกินก็ไม่ได้ ฉะนั้นความซับซ้อน โอกาสความช่วยเหลือจึงต่างจากชนบทค่อนข้างมาก” มนต์ทิพย์ กล่าว

ณัฐวิคม พันธุวงศ์ภักดี รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย โดยเป้าหมายที่ 1 คือการขจัดความยากจน (No Poverty) ได้กล่าวถึงคนจนโดยตรง มีเป้าหมายย่อย เช่น ลดความยากจนลงให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ต้องมีกลไกปกป้องทางสังคมในด้านต่างๆ รวมถึงคนจนต้องได้รับการคุ้มครองยามเกิดภัยพิบัติโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างเพศ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม SDGs ทั้ง 17 เป้าหมายล้วนเกี่ยวข้องกับคนจน เช่น  เราจะช่วยเหลือคนยากจนได้อย่างไรหากยังมีปัญหาความอดอยากหิวโหยอยู่ ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพด้วย (เป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย - Zero Hunger) ที่น่าสนใจคือ “ในขณะที่ประเทศไทยคิดว่าเราไม่มีปัญหาความหิวโหย แต่ตัวชี้วัดระดับโลกกลับบอกว่าเราทำเรื่องนี้ได้แย่มาก” เพราะแม้จะมีอาหารให้กินมาก แต่มีคุณภาพหรือไม่ มีสารตกค้างหรือไม่ ได้รับประทานอาหารครบทุกหมู่นั้นยังเป็นคำถาม รวมถึงอีกด้านหนึ่ง กลุ่มคนที่ผลิตและขายอาหารก็อยู่ในกลุ่มคนยากจนด้วย เป็นต้น

“การเข้าถึงพลังงาน (เป้าหมายที่ 7 - พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้ , Affordable and clean energy) ตอนนี้เราพูดถึงเยอะมากว่ามีการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่พลังงานสมัยใหม่ พลังงานสะอาด พลังงานที่เหมือนกับมีคุณภาพต่างๆ แต่แล้วคนจนล่ะ? จะได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ไหม? การจ้างงานที่มีคุณภาพ (เป้าหมายที่ 8 - เศรษฐกิจเติบโตด้วยการจ้างงานที่มีคุณค่า , Decent Work and Economic Growth)

หรือการใช้โครงสร้างพื้นฐาน (เป้าหมายที่ 9 : อุตสาหกรรม , นวัตกรรม เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน - Industry, Innovation, Technology and Infrastructure) เรากำลังผลักคนจนออกไปหรือเปล่า? เราสร้างอะไรบางอย่างในเมือง เราไปไล่รื้อพื้นที่บางพื้นที่หรือเปล่า? ตรงนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ” ณัฐวิคม กล่าว

  นพ.อานนท์ กุลธรรมานุสรณ์ สำนักวิชาการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข และผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอาสาทางการแพทย์สุขภาพวะข้างถนน กล่าวว่า “ความไร้บ้านเป็นปรากฏการณ์ที่พบมากในเขตเมือง” ดังข้อมูลการสำรวจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า พื้นที่ 30 อันดับแรกที่พอเจอคนไร้บ้านได้มากที่สุดอยู่ในกรุงเทพฯ และอำเภอเมืองของต่างจังหวัด

ปรากฏการณ์นี้ยังพบได้ตามเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่นจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “มนุษย์กล่อง” จากการนำกล่องมาทำเป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นยังพบว่า “ยิ่งเป็นจังหวัด (หรือเมือง) ที่รายได้มากเท่าใด ก็ยิ่งพบคนไร้บ้านมากขึ้นเท่านั้น” ดูจะขัดแย้งกับความเข้าใจว่าเมื่อพื้นที่ใดเศรษฐกิจดีผู้คนก็จะอยู่กันอย่างมั่งคั่งยั่งยืนและมีความสุข แต่ในมุมกลับของการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจก็มีคนที่ตกหล่น ดังนั้นกลุ่มคนไร้บ้านจึงเป็นกลุ่มเปราะบางและเจอได้ในเขตเมือง

ดังตัวอย่างของ “อำนวย” ชายวัย 49 ปี ภูมิลำเนาเป็นชาว จ.ร้อยเอ็ด เข้ามาในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน สู้ชีวิตมาตลอดแต่มาจบลงที่การเป็นคนไร้บ้านอยู่ในย่านหัวลำโพง – พระราม 4 ทีมงานต้องพยายามชักชวนอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมเข้ารับการตรวจสุขภาพและเข้ากระบวนการรักษาฟื้นฟูจากโรคเบาหวาน เนื่องจากเจ้าตัวบ่นว่า “อยากตาย” ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

“เราเจออีกประเด็นหนึ่งคือการไม่มีบัตรประชาชน พี่อำนวยเป็นคนที่ไม่มีการเคลื่อนไหวทางทะเบียนมานานมากจนชื่อตกหล่น สุดท้ายเราก็ต้องไปช่วยแกให้ได้บัตรประชาชน สุดท้ายพอฟื้นฟูเสร็จก็ส่งกลับไปอยู่บ้านได้ ต้องขอบคุณสำนักงานเขตพระนครที่ช่วยประสานงานที่บ้าน อันนี้จะชี้ประเด็นให้เห็นว่าในเมืองพอความที่เศรษฐกิจดีคนก็อยากจะมาอยู่ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้ไม่ได้แล้วก็หลุดจากระบบเศรษฐกิจหรือหลุดจากความช่วยเหลือต่างๆ จนสุดท้ายเป็นคนไร้บ้าน” นพ.อานนท์ กล่าว

ศ.ดร.นฤมล นิราทร ประธานอนุกรรมการวิชาการสนับสนุนการจัดและขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้ทำวิจัยประเด็น “หาบเร่แผงลอย” มาอย่างยาวนาน กล่าวว่า หาบเร่แผงลอยเป็นอาชีพยอดนิยมของคนรายได้น้อยและสามารถทำให้คนคนนั้นเก็บออมจนเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจได้ แต่ในช่วง 10 ปีล่าสุด นับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา จะพบการบริหารจัดการที่ชัดเจนมากขึ้น ด้วยความที่กรุงเทพฯ มีความสมัยใหม่มากขึ้น และเมืองเองก็มีความเป็นพลวัติสูง มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ซึ่งอยากตั้งข้อสันนิษฐานเป็นการส่วนตัวว่า “เมืองสมัยใหม่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนจนหรือคนเล็กคนน้อย” แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่ยังมีความยืดหยุ่นในการจัดการพอสมควร ดังจะเห็นจากบางอาชีพที่ยังอยู่ได้ เช่น หาบเร่แผงลอย มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ทั้งนี้ อยากพูดถึงคำว่า “Social Empathy” หรือ “การให้โอกาสคนที่มีโอกาสน้อยกว่า” เพราะ “ระยะหลังๆ คำคำนี้หายไปมากจากสังคม” โดยเฉพาะในยุคที่เราสามารถอยู่กับโทรศัพท์มือถือได้โดยไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง ความรู้สึกร่วมนี้จึงหายไป

“เราจะไม่มีทางแก้ปัญหาใน กทม. ได้เลยถ้าเราไม่สร้างความรู้สึกร่วมอันนี้ขึ้นมาให้เกิดความรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว คนต่างๆ เหล่านี้เขาเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา มีหัวจิตหัวใจและควรได้รับการดูแลพอสมควรในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง” ศ.ดร.นฤมล กล่าว                                                                                  SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ชุมชนนำ’โอบอุ้มเด็กและครอบครัว ‘ชุมชนนำ’โอบอุ้มเด็กและครอบครัว
  •  

Breaking News

ทหารไทยร้องเพลงชาติ บนภูมะเขือ หลังทำการยึดคืนจากกัมพูชาได้สำเร็จ (คลิป)

'เป็กกี้ ศรีธัญญา'ฟาดกลับชาวเน็ตกัมพูชา หลังโพสต์ให้กำลังใจทหารไทย

ทหารกล้าเสียชีวิตอีก 1 นาย พลทหาร สังกัดกองพันย่าโม ในการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา

'ประวิตร'อดีต ผบ.ทบ.ห่วงใยทหารไทยทุกนาย ย้ำภารกิจพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือเกียรติสูงสุดของชีวิต

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved