ที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ถือเป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเคยให้การช่วยเหลือชาวกัมพูชา ที่หนีภัยสงครามระหว่างกองทัพเวียดนามกับทหารเขมรแดง มาขอพึ่งใบบุญประเทศไทย นับพันนับหมื่นคนช่วงเขมรแตก ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ ย้อนเล่าความหลังให้ฟัง กว่าที่จะผลักดันกลับประเทศกัมพูชาคืนได้ ก็ยากไม่น้อย แต่ก็ยอมกลับโดยดี ไม่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเหมือน ที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
22 สิงหาคม 2568 นายสุบิน อ่อนเรือง อายุ 63 ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านตลาดนิคมปราสาท ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยที่เกิดสงครามเวียดนามกับเขมรแดง แล้วคนเขมรก็ได้หนีสงครามอพยพเข้ามาอยู่ในแผ่นดินประเทศไทย ไล่เรียงตั้งแต่บ้านสายโท 4 ใต้ เป็นต้นไปถึงสายโท 8 ใต้ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ซึ่งตอนนั้น ประเทศไทยก็ได้มีการตั้งศูนย์อพยพ เพื่อเป็นพื้นที่หลักในการรองรับผู้ลี้ภัยชาวเขมร ซึ่งตอนนั้นมีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคน ทางฝ่ายเราก็ดูแลเป็นอย่างดี ทั้งสร้างที่พักอาศัย อาหารการกิน และการช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม
อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บอกต่อว่า พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ก็ได้มีการผลักดันให้ชาวเขมรกลับประเทศคืน แต่กว่าจะผลักดันให้เดินทางกลับประเทศคืนได้ก็ยากพอสมควร ต้องใช้เวลาขับไล่กันนานกว่าจะไล่ให้ออกจากพื้นที่ศูนย์อพยพไปได้ โดยชาวเขมรบอกว่าอยู่แล้วก็ขออยู่เลยได้ไหม เพราะตอนนั้นฝ่ายไทยก็ได้มีการสร้างที่พักอาศัยให้มั่นคง แต่ก็สามารถผลักดันให้กลับประเทศคืนได้ในเวลาต่อมา ซึ่งลักษณะก็ไม่ต่างอะไรกับกรณีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนบริเวณ จ.สระแก้ว เพราะเป็นช่วงที่มีการอพยพหนีภัยสงครามในห้วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่ จ.สระแก้ว มันเป็นพื้นที่ใหญ่กว่าและอยู่ในพื้นที่ราบ
อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บอกด้วยว่า ก่อนที่จะมีเหตุการณ์เขมรแตกและมีการอพยพเข้ามาในประเทศไทย ตอนนั้นชายแดนพื้นที่ อ.บ้านกรวด ก็ได้มีพวกเขมรแดงบุกเข้ามาเผาบ้านเรือน และปล้นสะดมเอาทรัพย์สิน ข้าวของเงินทองของพี่น้องชาว อ.บ้านกรวด ไปหลายครั้ง ซึ่งผู้คนในวัยไล่เลี่ยกับตนจะจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี ถึงการกระทำที่เขมรได้ทำกับคนไทย
อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ยังบอกอีกว่าคราวนี้ตนก็เข้าใจเพราะเขมรก็ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาลเขมร หากใครไม่มาหรือไม่ทำตามที่สั่งก็จะโดนรังแก ทั้งการขู่จะยึดบ้าน ยึดที่ดิน และจับกุมดำเนินคดีต่างๆ อย่างกรณีมีชาวเขมรที่มาทำงานรับจ้างอยู่ในตลาดนิคม ทางครอบครัวพ่อแม่พี่น้องก็มีบ้านมีที่ดินอยู่ฝั่งเขมร ถ้าไม่ยอมกลับประเทศเขาก็ขู่จะยึดบ้านยึดที่ดิน มันก็จำเป็นจะต้องเดินทางกลับไปประเทศคืน ซึ่งตอนนั้นมันก็ร้องไห้ร้องห่มเป็นวรรคเป็นเวร เพราะมันเป็นคนหนุ่มมีอายุ 20 ปีขึ้นไป มาอยู่ด้วยกัน 4 คน จำเป็นต้องไปกันทั้งหมด
ด้าน นางประภาดา บุญเจริญ อายุ 57 ปี ชาว ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เล่าให้ฟังว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2526-2528 เป็นช่วงยุคสงครามเขมรแดง ตนเองอายุประมาณ 15-16 ปี ก็ได้มีคนเขมรหนีภัยสงครามอพยพเข้ามาอาศัยหลบภัยสงคราม มาอยู่แถวบ้านสายโท 4 ใต้ ไปจนสายโท 8 ใต้ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ที่ฝ่ายไทยได้จัดสร้างเป็นศูนย์อพยพจัดไว้ให้ และตนก็ได้ไปกับพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยวให้เขมรที่อพยพ พอเหตุการณ์เริ่มสงบทางการจึงได้ผลักดันให้เขมรที่อพยพอยู่แนวชายแดน อ.บ้านกรวด ให้ไปรวมตัวกันอยู่ที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ก่อนจะทำการผลักดันกลับคืนประเทศกัมพูชา
ซึ่งในช่วงนั้น ยอมรับว่า การผลักดันชาวเขมร ที่มาอาศัยอยู่ยังศูนย์อพยพที่ชายแดน อ.บ้านกรวด ก็มีทั้งง่ายและยากแต่สุดท้ายแล้วก็ยอมไปที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และได้ทำการผลักดันกลับคืนประเทศ.
012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี