เอาอีกแล้ว!!! ดราม่าสนั่นเมือง ก้องศรันย์ตำแซบปะทะคารมด่าตำรวจไฟแลบ หลังตำรวจรับเรื่องเรียนขายส้มตำฟ้อนรำด้วยส่งเสียงดังกลางดึกลั่นตลาด สุดท้ายยอมรับผิดที่เสียงดังในlevelของผม เจ้าตัวเปิดใจ อ้างตำรวจแหกปากร้องให้หยุดขาย แม้จะเป็นหนุ่ม lgbtq แต่มีเชื้อลูกชายหยามกันเกินไป ผมไม่ได้ขัดขืน แค่โมโหตำรวจพูดจาไม่ดี ยืนยันไม่ดื่มไม่เสพ หลังมีเรื่อง “นารา เครปกระเทย” เหมาส้มตำแจกชาวบ้าน 5,000 บาท ผกก.โต้ตำรวจทำตามหน้าที่ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านจริง ขายของขายได้อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน
15 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์อีกครั้ง สำหรับ “ก้อง ศรัณย์” เจ้าของร้าน “ตำแซ่บ” ที่จ.อุดรธานี หลังมีชาวบ้านร้องเรียนว่า เปิดเพลงและร้องเพลงเสียงดังยามดึกถึงตี 3 - 4 ส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้าน
โดยเฉพาะฝั่งตรงข้ามร้านซึ่งเป็นโรงพยาบาล ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจนำโดย ร.ต.อ.สถาพร สวัสดี รองสวป.สภ.เมืองอุดรธานี เข้าตรวจสอบและว่ากล่าวตักเตือน ในคลิปที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ปรากฏภาพขณะตำรวจเข้ามาที่ร้าน พร้อมขอให้หยุดเปิดเพลงเสียงดังและงดจำหน่ายอาหารในช่วงเวลานั้น ซึ่งเจ้าของร้านได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำให้บรรยากาศตึงเครียด ก่อนเจ้าหน้าที่จะขอให้ “ก้อง ศรัณย์” หยุดพูดเพื่ออธิบายเหตุผลในการเข้าระงับเหตุและให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ
โดยจากภาพไลฟ์สดของ ก้อง ศรัณย์ จะเห็นว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย เดินเข้ามาส่องไฟใส่และถามว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว” ทางฝั่งก้อง ศรัณย์ ตอบว่า “ตอนนี้เวลา 02.30 น.” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามต่อว่า “เมื่อไหร่จะปิดลำโพง” ก่อนกล่าวทำนองว่า “หรือจะให้จับ” ซึ่งก้องศรันย์ก็ตอบกลับไปว่า “จะจับก็จับ” ทำให้บรรยากาศเริ่มตึงเครียด จากนั้นตำรวจพยายามอธิบายว่า ได้รับการร้องเรียนจากโรงพยาบาลใกล้เคียงว่าร้านส้มตำเปิดเกินเวลาเสียงดังรบกวน ขอให้ปิดลำโพงและให้ความร่วมมือ แต่ระหว่างพูดคุยทั้งสองฝ่ายก็มีปากเสียงกัน เสียงโต้เถียงดังออกมาในไลฟ์สดอย่างชัดเจน
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ “ก้อง ศรัณย์” เจ้าตัวชี้แจงว่า ตนเป็นคนชอบร้องเพลง เวลาว่างจากการขายส้มตำก็มักจะร้องเพลงเพื่อผ่อนคลาย ยอมรับว่าเสียงอาจดังบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งใจรบกวนใคร และเมื่อใดที่ตนทำอะไรก็มักจะกลายเป็นประเด็นดราม่าในโลกโซเชียลเสมอ
'คนแถวนั้นชอบแจ้งว่าผมร้องเพลงเสียงดัง ส่วนโรงพยาบาลก็อยู่ใกล้ ถ้ามีการร้องเรียน ตำรวจก็จะลงมาตรวจ เขาก็บอกให้หยุด ซึ่งผมก็หยุด ไม่เคยขัดขืนอะไรแม้แต่ครั้งเดียว'
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสในโลกออนไลน์ที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าในวันเกิดเหตุเจ้าตัวอยู่ในอาการมึนเมาหรือเกี่ยวข้องกับสารเสพติดหรือไม่ ก้อง ศรัณย์ ยืนยันชัดว่า “ผมไม่ดื่มของมึนเมาเลยครับ ไม่เคยแตะเหล้า และที่สำคัญผมไม่เสพยาแน่นอน เรื่องนี้ผมยืนยันได้เต็มร้อย”
เจ้าของร้านตำแซ่บยังกล่าวถึงเหตุการณ์ในคลิปว่า ก่อนหน้าที่ตำรวจจะมาตรวจ มีการใช้ไฟส่องหน้าและพูดจาในลักษณะวางอำนาจ “ถ้าตำรวจพูดดี ๆ แนะนำตัวเอง และอธิบายเหตุผล คนก็เข้าใจได้ แต่พูดจาเหมือนนักเลง บอกให้หยุดขาย ผมก็เลยมีอารมณ์ขึ้นตามในคลิป ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ขัดขืน แค่โมโหที่พูดกันไม่ดี”
ก้อง ศรันย์ ยังกล่าวอีกว่า คลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ไม่ใช่คลิปเต็ม “เขาตัดบางส่วน ทำให้คนเข้าใจผิด ถ้าลงคลิปเต็ม ๆ คนจะเห็นว่าผมให้ความร่วมมือ ไม่ได้มีปัญหากับเจ้าหน้าที่” ผมขอตั้งข้อสงสัยถึงการทำงานของตำรวจในพื้นที่ตลาดรถไฟว่า “ทำไมถึงโฟกัสแต่ร้านผม ทั้งที่บริเวณนี้ก็มีปัญหาหลายอย่าง ทั้งน้ำกระท่อม วัยรุ่นมั่วสุม มียาเสพติด แต่ไม่จัดการ กลับมาจับตาร้านผมเรื่องร้องเพลงเสียงดังแค่ร้านเดียว
ตอนท้ายก้องศรันย์ พูดทิ้งท้ายว่า ขอยอมรับผิดในส่วนของตน และขอโทษหากสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน แต่ยืนยันว่าขณะตำรวจเข้ามาตรวจ ตนให้ความร่วมมืออย่างดีและปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างหลังเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ผมจะเป็นหนุ่ม lgbtq แต่มีเชื้อลูกชายหยามกันเกินไป ผมไม่ได้ขัดขืน แค่โมโหตำรวจพูดจาไม่ดีผมเลยด่าสวนกลับก็แค่นั้น
ซึ่งหลังจากมีเรื่องปะทะคารมกับตำรวจ ทาง“นารา เครปกระเทย” อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ได้โอนเงินมาเหมาส้มตำมูลค่า 5,000 บาท แจกให้ประชาชนบริเวณนั้น สร้างสีสันและเสียงฮือฮาในโลกออนไลน์อีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโซเชียล ทั้งในมุมของความเหมาะสมในการทำกิจการยามค่ำคืน และบทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ต่างคนต่างมุมมอง
ทางด้าน พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทน์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยถึงกรณีคลิปเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะคารมกับพ่อค้าส้มตำภายในตลาดรถไฟ ที่ถูกแชร์ในโลกโซเชียลว่า เหตุเกิดขึ้นเวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากร้อยเวร 20 ได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีร้านอาหารเปิดเครื่องขยายเสียงส่งเสียงดังรบกวน เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบว่าร้านส้มตำดังกล่าวมีการเปิดเพลงเสียงดังจริง ขณะนั้นบริเวณใกล้เคียงมีโรงพยาบาลอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตักเตือนให้ลดเสียง และขอให้งดใช้เครื่องขยายเสียงชั่วคราว แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นตามคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียล
ผู้กำกับฯ ยืนยันว่า ขณะที่ตำรวจพูดคำว่า “หยุด” นั้น หมายถึงให้ หยุดใช้เสียง ไม่ได้หมายความว่าให้ หยุดขายของ ตามที่บางส่วนเข้าใจผิด เรื่องนี้ขอยืนยันตำรวจทำหน้าที่หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียจากประชาชน พร้อมฝากเตือนผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้า และสถานบริการต่าง ๆ หากมีใบอนุญาตประกอบกิจการก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องเสียง ควรคำนึงถึงชุมชนและประชาชนโดยรอบ เพื่อป้องกันปัญหาการร้องเรียนในอนาคต
ขณะเดียวกันคุณเจี๊ยบ อายุ 45 ปี เจ้าของร้านหมาล่าด้านหลังร้านส้มตำ เปิดใจกับผู้สื่อข่าวถึงกรณีดราม่า “ก้องศรัณย์” นักร้องหนุ่มที่ถูกตำรวจเข้าตรวจสอบเรื่องเสียงดังว่า ปกติ “น้องก้องศรัณย์” มักจะร้องเพลงแบบนี้อยู่เป็นประจำ เสียงก็ไม่ได้ดังรบกวน เพราะลำโพงหันไปทางที่จอดรถ ไม่ได้หันเข้าไปยังโรงพยาบาล
เจี๊ยบเล่าต่อว่า เสียงร้องเพลงของก้องศรัณย์นั้นไม่ดังมาก “ก็เหมือนคนร้องคาราโอเกะในบ้านธรรมดา” ยืนยันว่าเสียงไม่ถึงโรงพยาบาลแน่นอน เพราะตนเคยสอบถามพยาบาลแผนกฉุกเฉินที่มาซื้อหมาล่าบ่อยๆ ก็ได้รับการยืนยันเช่นกันว่า “ไม่เคยได้ยินเสียงเพลงจากฝั่งตลาด”
ขอยืนยันเสียงร้องเพลงของก้องศรัณย์ไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับพ่อค้าแม่ค้าหรือคนที่มาตลาด แถมบางครั้งยังทำให้หลายคนอดขำไม่ได้ “เพราะเขาร้องไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ แต่ก็สร้างสีสันดี” เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสดราม่าที่ก้องศรัณย์มีปากเสียงกับตำรวจ คุณเจี๊ยบให้ความเห็นว่า “ส่วนตัวมองว่าคุณก้องศรัณย์พูดมีเหตุผลนะ เพียงแต่ใช้คำพูดแรงไปหน่อย อาจจะเพราะอารมณ์ในตอนนั้น”
012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี