ตอกหน้าฝรั่งดูแคลน! ประภาส เปิดอภินิหารคำว่า แล้ว พิสูจน์ความลึกซึ้งที่เหนือกว่า Tense

ตอกหน้าฝรั่งดูแคลน! ประภาส เปิดอภินิหารคำว่า แล้ว พิสูจน์ความลึกซึ้งที่เหนือกว่า Tense

วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 21.58 น.

 

 


วันที่ 9 ธันวาคม 2568 ประภาส ชลศรานนท์ ศิลปินแห่งชาติ นักคิด นักเขียน นักแต่งเพลง ได้ร่ายกลอนลงบนเฟซบุ๊ก "Prapas Cholsaranon" ระบุว่า

ครั้งหนึ่งในนานมานี้ เคยมีฝรั่งพูดว่า “ภาษาที่ไม่มีการแบ่งไวยากรณ์แบบ  tense เป็นภาษาที่ไม่พัฒนา“

ขนาดนั้นเชียวหรือ  นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขารู้จักคำว่า “แล้ว” ของภาษาไทยน้อยไปแล้วล่ะ

ไม่น่าเชื่อว่า ในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาศาสตร์ยุคก่อนหน้านี้ เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 แถว ๆ นั้น ใกล้ ๆ ยุคล่าอาณานิคมของพวกยุโรปนั่น

แหละ  คนตะวันตกไม่ได้ล่าแค่ทรัพยากร แต่พวกเขาเคยกดหัววัฒนธรรมอื่นด้วย

นักภาษาศาสตร์ชาวฝรั่งยุคนั้นเคยถึงกับกล่าวเชิงดูแคลนว่า ” ภาษาใดที่ไม่มี tense ชัดเจน เป็นภาษาที่ยังไม่สุกงอมทางไวยากรณ์“ 

ยุคนั้นเป็นยุคที่ยุโรป เชื่อใน วิวัฒนาการเชิงเส้น (primitive → civilized) และยึดเอาภาษาอินโด–ยูโรเปียน (ละติน กรีก อังกฤษ ฝรั่งเศส) เป็น “มาตรฐาน”

วิวัฒนาการเชิงเส้นคืออะไร เล่าแบบผมเข้าใจนะ เชิงเส้นคือความเชื่อว่ามนุษย์ สังคม ภาษา และวัฒนธรรมจะพัฒนาไปตาม เส้นทางเดียวกันเสมอ นั่นคือจากด้อยไปสู่ดี จากป่าเถื่อนไปสู่ศิวิไลซ์

จากง่ายไปสู่ซับซ้อน และจากล้าหลังไปสู่ทันสมัย โดยเขาเชื่อมั่นว่ายุโรปเป็นปลายทางสูงสุดของเส้นนี้ 

คิดอะไรเป็นสูตรอย่างนั้นล่ะครับมิสเตอร์ ง่ายกับซับซ้อนอยู่ด้วยกันก็มีเยอะ จากซับซ้อนไปสู่ง่ายและวนกลับไปสู่ศิวิไลซ์ก็มี จากศิวิไลซ์แตกสลายเป็นวงหย่อม ๆ จนล่มจมก็มีให้เห็น

พวกเขาชูว่า ภาษา คือตัวชี้ระดับอารยธรรม และสิ่งที่ภาษาอินโด–ยูโรเปียน “มี” แต่ภาษาอื่น “ไม่มี” เช่น tense, conjugation, declension ถูกตีความยกย่องว่าเป็น ความซับซ้อน ซึ่งมีความ

หมายเท่ากับความเจริญ

คุณพี่ฝรั่งยังบอกอีกว่าภาษาที่ไร้ tense จะเป็นภาษาที่ “เล่าเวลาไม่ชัด” เพราะไม่สามารถผันคำกริยาให้บอกอดีต บอกปัจจุบัน บอกอนาคต ภาษาแบบนี้จะเป็นภาษาที่ไม่ลึกซึ้ง ทำให้การพัฒนา

ทางไวยากรณ์และวรรณกรรมเกิดได้ยาก

ภาษาเอเชียโดนกล่าวหาหลายภาษาเลยล่ะ และแน่นอน ภาษาไทยก็ตกอยู่ในข้อครหานี้ด้วย 

กริยาที่ไม่ผันรูป ไม่มี -ed  ไม่มี will  ไม่มี was / were ไม่มี ing  ทุกอย่างดู “แบน” ในสายตานักไวยากรณ์ตะวันตกยุคนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าคนไทยที่หลงไหลภาษาอังกฤษมากๆ จะคิดตามนั้นมั้ย

แม้ผมจะเคยได้ยินเด็กรุ่นใหม่ที่เผลอพูดเบา ๆ ว่าภาษาไทยไม่ลึกซึ้งเท่าภาษาอังกฤษ 

มา  เราลองมาดูกัน

ระหว่าง “tense” กับ “เวลา” เป็นไปได้ไหมว่าเรากำลังเราเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน สำหรับผม tense ไม่ใช่ “เวลา” แต่เป็นเพียง วิธีหนึ่ง ที่ภาษาเลือกใช้ในการจัดการเวลา

- ภาษาอังกฤษบอกเวลาโดย ผันรูปคำ

- ภาษาไทยบอกเวลาโดย จัดวางบริบท

สิ่งที่ภาษาไทยทำ ไม่ใช่การละเลยเวลา แต่เป็นการ ย้ายภาระของเวลา จากรูปคำ  ไปสู่โครงสร้างประโยค  และความรับรู้ร่วมกันของผู้พูดผู้ฟัง และจุดศูนย์กลางของระบบนี้ คือคำธรรมดา ๆ คำ

หนึ่ง 

คำนี้แหละ คำว่า“แล้ว”

“แล้ว” ไม่ได้แปลว่า past แค่นั้น แต่มันมีความหมายของ “ความเปลี่ยนผ่าน”

ถ้า “แล้ว” เป็นเพียงเครื่องหมายอดีต มันคงทำงานง่ายกว่านี้มาก แต่ในภาษาไทย “แล้ว” สามารถเป็นได้พร้อมกันหลายสิ่ง 

-เป็นเครื่องหมายการเสร็จสิ้น (หมากินข้าวแล้ว)

-เป็นเครื่องหมายลำดับเหตุการณ์( ยุบสภาแล้วไปเลือกตั้งใหม่)

-เป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนสถานะ (ลูกเป็นผู้ใหญ่แล้ว)

-เป็นเครื่องหมายความคาดหวัง (ทำแล้วนะ)

-เป็นเครื่องหมายเร่งหรือกระตุ้น (ไปได้แล้ว)

-เป็นเครื่องหมายปิดตอนของเรื่อง (พอแล้ว)

-เป็นเครื่องหมายเปิดตอนใหม่ (แล้วก็…)

-เป็นเครื่องหมายเชิงอารมณ์ (แล้วไง)

-เป็นเครื่องหมายบอกถึงความหงุดหงิด กังวล (มันโทรมาอีกแล้ว)

-เป็นเครื่องหมายบอกว่าปัจจุบันเดี๋ยวนี้เลย (แม่สาวแก้มเรื่อ ทหารเรือมาแล้ว)

-เป็นเครื่องหมายบอกเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น (เอาแหล่ว ๆ )

-เป็นเครื่องหมายเคลียร์ให้จบ ดีลให้ผ่าน ปลงให้ตก (แล้ว ๆ กันไป) 

ฯลฯ

“แล้ว” ไม่ได้บอก ว่าเกิดเมื่อไร แต่มันบอกว่าสิ่งนั้นหรือกริยานั้นนั้นได้ข้ามเส้นบางอย่างไปแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเส้นของเวลา เส้นของสถานะ เส้นของความสัมพันธ์ หรือเส้นของอารมณ์ ก็ได้

เราคนไทยทุกคนรู้ดีว่า ภาษาไทยไม่ได้ “ขาด tense” แต่มี ระบบ aspect–discourse หรือแง่มุมที่ละเอียดกว่า เพราะมันคือการสื่อความหมายของเหตุการณ์ ที่ผ่าน “ลักษณะการเกิด” และ

“บริบทของเรื่อง” มากกว่าการบอกเวลาแบบตายตัว

ดังนั้นคนไทยจึงขอเถียงว่า ภาษาที่พัฒนาไม่จำเป็นต้องซับซ้อนในระดับรูปคำ แต่อาจซับซ้อนในระดับ การตีความ  ภาษาไทยสนุกขนาดให้ผู้พูดเลือกเอาเอง ว่า

-จะเน้น “ผล” หรือ “กระบวนการ”

-จะวางน้ำหนักที่ “ความเสร็จ” หรือ “ความต่อเนื่อง”

-จะพูดจากมุมผู้เล่า หรือผู้ฟัง

เราพูดกันสั้น ๆ แต่เราก็เข้าใจกันทั้งประเทศ และทั้งหมดนี้ถูกบรรจุไว้ในคำเล็ก ๆ อย่าง “แล้ว” ซึ่งทำงานร่วมกับคำอื่น เช่น ก็ , นะ , สิ , อยู่ ฯลฯ

นี่ไม่ใช่ความจนของภาษา แต่มันคือ ความประหยัดแบบไทยๆ แบบคนเอเซีย และคงต้องถามกลับว่าความยิ่งใหญ่ของไวยากรณ์ ใครเป็นคนตั้งมาตรฐาน

เมื่อเราใช้ไวยากรณ์ยุโรปเป็นไม้บรรทัด ภาษาอื่นย่อมดู “สั้น” แต่เมื่อเราเปลี่ยนคำถามเป็นว่า “เราจะจำเป็นต้องใช้การผันคำอย่างเดียวเพื่อบอกการเปลี่ยนผ่านหรือ”  ภาพทั้งหมดอาจกลับด้าน 

ภาษาไทยไม่ได้ด้อยพัฒนาในทางวรรณกรรมแน่ ๆ  เพียงแต่เราต่างพัฒนาไปคนละทิศ ถึงมันจะไม่ผันคำ แต่มันผันมุมมองตลอดเวลาในการใช้มิใช่หรือ

นักภาษาศาสตร์ตะวันตกยุคใหม่หลายคนเริ่มยอมรับแล้วว่า tense ไม่ใช่ความรุ่มรวยของภาษาแต่อย่างใดเลย มันเป็นแค่เอกลักษณ์หนึ่งเท่านั้น และเป็นเอกลักษณ์ที่คนไทยปวดหัวกับมันมาก

ที่สุด เมื่อเริ่มเรียนภาษาตระกูลนี้ เหมือนกับที่ชาวตะวันตกเวียนหัวกับคำว่า“แล้ว” และวรรณยุกต์จำนวนมากมายที่เปลี่ยนความหมายไปคนละเรื่อง

Mary R. Haas นักภาษาศาสตร์อเมริกัน เป็นคนแรก ๆ ที่ทำให้วงการตะวันตก เลิกเรียกภาษาไทยว่า tenseless language ในเชิงด้อยพัฒนา  , David Noss นักภาษาศาสตร์ระดับโลกก็บอกว่า

ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาเรียบ แต่เป็นภาษาที่ ไม่ยอมให้กรอบของยุโรปครอบงำ

อีกคนหนึ่งCharles F. Hockett  ก็ให้ความเห็นเหมือนกัน  กับคำว่า“แล้ว” ที่นับเป็นคำที่ใช้อยู่ในภาษาไทยมากที่สุดคำหนึ่ง เขาบอกว่าความหมายไม่ได้อยู่ที่คำว่า “แล้ว” ลำพัง แต่อยู่ที่ ตำแหน่ง 

น้ำเสียง และบริบท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ที่คนไทยเขาฟังแล้วเขารู้ความหมายของมันอย่างไม่คลาดเคลื่อนเลย

เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้ว ผมก็ขอสรุปเลยว่านี่คืออิทธิฤทธิ์ของคำว่า “แล้ว”

คำว่า “แล้ว” ได้แสดงอภินิหารให้เราเห็นแล้วว่า ภาษาไม่จำเป็นต้องบอกความหมายแบบตะโกน มันอาจเพียงแค่การกระซิบ แล้วปล่อยให้บริบททำงานต่อ และถ้าพูดแบบโม้ ๆ หน่อย บางทีภาษา

ที่ดูเหมือนไม่มี tense อาจเป็นภาษาที่เข้าใจ “เวลา” ในระดับที่ลึกกว่าใครก็ได้ 

เพราะเวลา ไม่ใช่แค่เส้นตรง แต่มันคือประสบการณ์ของมนุษย์

ซึ่ง… ภาษาไทย “รู้อยู่แล้ว” 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top