นายประสิทธิ์ หมีดเส็น รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้่ราคายังทรงตัว แม้ในช่วงนี้ภาคใต้จะมีฝนตกหนัก ทำให้ยางออกสู่ตลาดน้อยลงก็ตาม แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้น ความต้องการยางมีน้อย ทำให้ราคาในตลาดชี้นำต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ โดยยางแผ่นรมควัน ชั้น 3 ราคาประมาณ 50 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าแนวโน้มในอนาคตราคายังจะไม่กระเตื้องขึ้น เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใดๆ มากระตุ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง

ดังนั้น เกษตรกรจะต้องปรับตัว ด้วยการลดต้นทุนการผลิตของสวนยาง พร้อมกับลดปริมาณการปลูกยางลง เพื่อให้เกิดความสมดุลในตลาด ระหว่างความต้องการใช้และปริมาณการผลิต และที่สำคัญสกย.ได้แนะนำให้ใช้พื้นที่ในสวนยางให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการสร้างรายได้เสริมจากอาชีพอื่นๆ ซึ่งสกย.ได้สนับสนุนให้เกษตรกรนำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในสวนยาง ล่าสุดสกย.ได้แก้กฎระเบียบการให้การสงเคราะห์ใหม่ กรณีที่เกษตรกรขอโค่นสวนยางเก่าเพื่อปลูกใหม่ สกย.อนุญาตให้ลดจำนวนต้นยางที่ปลูก จากไร่ละ 76 ต้น เหลือไร่ละ 40 ต้นได้ ในขณะที่ยังได้รับทุนสงเคราะห์อัตราเดิม คือ ไร่ละ 16,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการทำสวนยางอย่างได้ผล

“การปลูกยางพาราเหลือไร่ละ 40 ต้น จะทำให้ระยะห่างระหว่างต้นยางเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีพื้นที่เพียงพอที่จะปลูกยางควบคู่ไปกับการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ อาจจะเป็นไม้ผล ไม้เศรษฐกิจ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัว หรืออาจปลูกยางควบคู่ไปกับการทำปศุสัตว์ เลี้ยงไก่ วัว แพะ แกะฯ ที่ไม่มีผลกระทบต่อการทำสวนยาง ในบางพื้นที่อาจจะขุดบ่อเลี้ยงปลาก็ได้ สกย. พร้อมที่จะให้การสนับสนุน”

นายประสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับการทำสวนยางพาราตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง อาจต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ จึงเป็นการทำสวนยางบนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และใช้คุณธรรม ประกอบการวางแผนและการตัดสินใจ ดังนั้น การทำสวนยางของเกษตรกร จะต้องทำการเกษตรแบบผสมผสาน ไม่ทำการเกษตรแบบทุนนิยมที่จะให้ปลูกพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น