เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เป็นประธานประชุมหาแนวทางแก้ปัญหาภัยแล้งและสถานการณ์น้ำท่วม มีรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ เป็นต้น
ภายหลังประชุม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า นายกฯเป็นห่วงสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะเรื่องน้ำแล้ง ซึ่งได้พูดคุยถึงการนำน้ำจากแม่น้ำสายหลักและสายย่อย ที่ไหลลงแม่น้ำโขง สาละวินว่าจะทำอย่างไรให้น้ำอยู่ในประเทศนานที่สุด ซึ่งได้ข้อสรุปว่าจะทำพื้นที่กักเก็บน้ำ เป็นแก้มลิงและฝายเก็บน้ำจากแม่น้ำสายหลักและสายย่อย ก่อนไหลลงแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาละวิน ให้น้ำอยู่ในพื้นที่นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
“ในที่ประชุมพล.อ.ฉัตรชัยระบุได้จัดเตรียมข้อมูลเรื่องแก้มลิงเอาไว้แล้ว 30 แห่ง ใน 5 จังหวัดภาคอีสานคือ จ.นครพนม หนองคาย บึงกาฬ เลยและมุกดาหาร และมีการทำฝายอีก 22 จังหวัดที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสานตอนบนและภาคกลางตอนบนบางส่วน ซึ่งไม่ใช่การดึงน้ำจากแม่น้ำโขงเข้าประเทศเรา แต่ทำแก้มลิงกักน้ำให้อยู่ในประเทศนานที่สุด โดยนายกฯสั่งให้นำกำลังทหารมาช่วยขุดแก้มลิง ซึ่งตอนนี้เขามีจุดที่ขุดแล้ว”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
สั่งกษ.ดันแพ็คเก็จแก้แล้งด่วน
และว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงแพ็คเก็จการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชแก้ภัยแล้งว่า นายกฯยกตัวอย่างด้วยว่า ไม่ใช่ปรับพฤติกรรมอย่างเดียว ต้องดูเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น มีตลาดรองรับหรือไม่ โดยให้นำปัญหาปีที่แล้วที่มีต้นข้าวยืนต้นตาย ทำไม่ได้ ดังนั้น ต้องชัดเจนทั้งแพ็คเกจ ซึ่งนายกฯให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเร่งออกมาตรการและให้ได้ข้อสรุปเร็วที่สุด เพื่อเสนอเข้าครม.ต่อไป โดยกระทรวงเกษตรฯจะเป็นแกนกลางประสานงานในการคิดแพ็คเกจทั้งระบบ
เมื่อถามถึงระยะเวลาคิดมาตรการ พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ข้อมูลมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครบทุกส่วน แต่ต้องนำข้อมูลทุกส่วนมาประสานกัน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯระบุด้วยซ้ำว่า ให้เวลา 1 สัปดาห์ เชื่อว่าจะดำเนินการทัน
กฟผ.ห่วงน้ำในเขื่อนหลักยังต่ำ
ด้านนายสุนชัย คำนูนเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนขณะนี้ว่า ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากมีปริมาณน้ำต่ำกว่าที่คาดการณ์ แม้จะมีฝนตกในหลายพื้นที่ก็ตาม โดยปริมาณน้ำในเขื่อนหลักภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์มีเพียง 40% เขื่อนภูมิพล จ.ตากมีน้ำ 32% เท่านั้น โดยเฉลี่ยทั้งสองเขื่อนมีปริมาณน้ำไหลเข้าเพียงวันละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ด้านเขื่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ มีน้ำ 30% เขื่อนสิรินธร 50% ขณะที่เขื่อนด้านตะวันตก ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ์และเขื่อนศรีนครินทร์ ยังมีปริมาณน้ำพอสมควรเฉลี่ย 70% ภาพรวมปริมาณน้ำในเขื่อน ซึ่งเป็นต้นทุนน้ำสะสมไว้ใช้ปีหน้ายังมีปริมาณที่น้อย ดังนั้น ต้องระวังการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์
เตือนไทยมีฝนเพิ่มขึ้น15-18กย.
วันเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยารายงานลักษณะอากาศทั่วไป จากกรณีพายุโซนร้อนหว่ามก๋อ (VAMCO) บริเวณบริเวณตอนใต้ของเมืองดานัง ประเทศเวียดนามเคลื่อนตัวไปยังเมืองสาละวัน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ทางด้านตะวันออกของจ.อุบลราชธานีอยู่ห่างประมาณ 220 กิโลเมตร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นช่วงวันที่ 15-18 กันยายน ขอให้ประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลางตอนล่าง ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสมบริเวณดังกล่าว ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น มีคลื่นสูง 2-3 เมตร
เขื่อนเจ้าพระยาลดปล่อยน้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำฝน หลังพายุหว่ามก๋อพัดผ่านประเทศไทย ทำให้มีฝนตกต่อเนื่องทั่วประเทศ ส่งผลดีกับหลายจังหวัดทำให้ปริมาณน้ำในพื้นที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์ภัยแล้งหลายพื้นที่คลี่คลาย โดยระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จุดวัดน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เพิ่มขึ้น 24 เซนติเมตร ไปอยู่ที่ 14.57 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง(ม.รทก.) พ้นจุดวิกฤตระดับกักเก็บของเขื่อน 14.00 ม.รทก. โดยเขื่อนเจ้าพระยาลดอัตราการระบายน้ำลงเหลือ 65 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม.วิ.) เพราะปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บางพื้นที่มีปัญหาน้ำท่วม การลดการระบายน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงพื้นที่น้ำท่วม และเพิ่มปริมาณกักเก็บน้ำในเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนในอนาคต
“ลำตะคอง”น้ำเข้ามาสุดรอบปี
เช่นเดียวกับ นายสิทธิโรจน์ กองแก้ว ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง จ.นครราชสีมาที่ระบุว่า พายุหว่ามก๋อทำให้มีฝนตกต่อเนื่อง ส่งผลดีทำให้มีน้ำเติมเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว ที่เหลือน้ำน้อย วันนี้มีน้ำไหลลงอ่างถึง 1.31 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)มากที่สุดในปีนี้ ทำให้มีน้ำใช้ได้เพิ่มเป็น 50 ล้าน ลบ.ม.อย่างไรก็ตาม โครงการลดปล่อยน้ำ เพื่อเก็บไว้ใช้ฤดูแล้งปีหน้า
เขื่อนลำปะทาวน้ำเพิ่มเต็มความจุ
สำหรับที่จ.ชัยภูมิ ฝนที่ตกต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนลำปะทาวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากต้องเผชิญภาวะฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำในเขื่อนลดเหลือเพียงร้อยละ 35 จากความจุเขื่อนกว่า 66 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งขณะนี้ระดับน้ำในเขื่อน เพิ่มสูงขึ้นเต็มความจุสูงจนมีระดับน้ำล้นสันเขื่อนสูงกว่าร้อยละ 20 คาดว่า จะช่วยให้สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้คลี่คลายลงระดับหนึ่ง และถ้ายังมีฝนตกต่อไปอีก จะสามารถปล่อยน้ำช่วยเหลือเกษตรกรได้
พิษหว่ามก๋อหลายจว.เจอพายุ-น้ำป่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม ฝนกระทบจากพายุฝนตกหนัก ทำให้หลายจังหวัดต้องเผชิญภาวะน้ำท่วมขัง น้ำป่าทะลักท่วมบ้านเรือนประชาชนพังเสียหาย เช่น ที่จ.ชลบุรี เกิดพายุพัดต้นประตู่ขนาดใหญ่หักโค่นขวางถนนสุขุมวิท กท.169 ขาเข้าพัทยา อ.สัตหีบ อีกทั้ง ยังมีไฟดับเกือบทั้งเมือง เช่นเดียวกับ จ.ระนอง ต้นไม้ใหญ่หักโค่นทับบ้านเรือนพังเสียหาย พัดหลังคาบ้านพัง 7 หลังคาเรือน ส่วนที่อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เกิดน้ำป่าไหลท่วมบ้านเรือนชาวบ้านหมู่ที่ 4 ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร นอกจากนั้น ในพื้นที่อื่นของ อ.พะโต๊ะ เกิดน้ำป่าไหลเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้าน ถนนถูกน้ำท่วมสูง ชาวบ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนับพันหลังคาเรือน
ขณะที่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ริมคลองบางม่วง ม.4 ซอยธารทองใต้ ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา น้ำป่าจากเทือกเขาดอกแดง ไหลลงคลองบางม่วง เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมหมู่บ้าน ทำให้บ้านเรือนประชาชน 40 หลังคาเรือน ถูกน้ำท่วมสูง 30 เซนติเมตร ต้องอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี