แตกตื่นกันพอสมควร หลังจากเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 มีข่าวสะพัดออกมาว่า เจ้าหน้าที่พบกล่องบรรจุสารเคมีหวั่นรั่วไหลจากโกดังเก็บสินค้า 2 ชั้นตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 24 แยก 2-1 พื้นที่เขตจตุจักร กทม. เบื้องต้นคาดว่าเป็น…
"โคบอลต์-60"
เจ้าหน้าที่จึงต้องปิดกั้นบริเวณจุดเกิดเหตุ พร้อมเร่งอพยพประชาชนที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงออกจากจุดเกิดเหตุ นั่นเพราะโคบอลต์-60 ถือเป็นสารกัมมันตรังสี "อันตราย" !!!
แม้ "โคบอลต์-60" จะมีประโยชน์ในทางการแพทย์ คือ ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยมะเร็ง แต่ผู้ที่ถูกรังสีนี้จะให้เกิดเม็ดเลือดขาวต่ำ มีอาการอ่อนเพลีย มือไหม้พอง โดยวิธีฉายรังสีจากโคบอลต์-60 หรือสารรังสีหรือแร่โคบอลต์-60 ประกอบด้วย รังสีแกมม่าและรังสีเบต้า และรังสีที่ใช้เป็นตัวรักษาเป็นอันตราย คือ รังสีแกมมา มีแรงทะลุทลวงมากกว่า รังสีเบต้ามาก
โคบอลต์-60 เป็นสารรังสีที่ใช้ในทางการแพทย์ในไทยตั้งแต่ปี 2501 โดยปัจจุบันใช้เป็นต้นกำเนิดรังสีแกมม่า สำหรับรักษาโรคมะเร็ง และปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยมะเร็งชาวไทยจำนวนมากมายที่ "รอดชีวิต" จากโรคมะเร็ง ในทางกลับกันโคบอลต์-60 ถือว่ามีอันตราย...
"คร่าชีวิต" ผู้คนได้เช่นกัน...
แม้ล่าสุด เจ้าหน้าที่จะพบว่าเป็น อิริเดียม 192 ไม่ใช่ โคบอลต์-60 ก็ตาม
แต่เหตุที่เกิดขึ้นก็สร้างความตื่นตระหนกไม่น้อย เพราะคนไทยเคยเจอพิษภัยของ โคบอลต์-60 มาแล้ว
หลายคนยังคงพอจำกันได้ เมื่อต้นปี 2543 มีเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนก เสียขวัญให้กับประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก นั่นคือ "อุบัติเหตุทางรังสี" ที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสารรังสีและอันตรายของสารรังสี นำมาซึ่งความสูญเสียเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2543 เมื่อส่วนหัวของเครื่องฉายรังสีทางการแพทย์ หรือเครื่องฉายรังสีโคบอลต์-60 ที่ไม่ใช้แล้ว ถูกแยกชิ้นส่วนออกมา และบางส่วนถูกนำออกมาจากสถานที่เก็บที่ไม่มีการควบคุมดูแล นำไปเก็บไว้ในที่จอดรถร้างในซอยอ่อนนุช ตั้งแต่ปี 2542
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของ "คนเก็บของเก่า" จัดการแยกชิ้นส่วนเพื่อจะนำไปขายเป็นเศษโลหะ ที่ร้านรับซื้อของเก่า ทำให้รังสีแพร่ออกมา ผู้ที่โดนรังสีเข้าไปต่างมีอาการเจ็บป่วยไปตามๆ กัน เมื่อแพทย์ได้ตรวจรักษาผู้ป่วย 2 -3 ราย และสงสัยว่าเป็นการได้รับรังสีจากต้นกำเนิดรังสี จึงได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบจนกลายเป็นข่าวครึกโครม
ในจำนวนผู้ป่วย 10 ราย ที่ได้รับปริมาณรังสีสูงจากต้นกำเนิดรังสี ในจำนวนนี้มี 3 ราย ที่ทำงานร้านรับซื้อของเก่า "เสียชีวิต" ในระยะเวลา 2 เดือน หลังจากได้รับรังสี!!!.
แม้กระทรวงสาธารณสุข จะไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการถึงจำนวนผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด แต่มีข้อมูลบางส่วนที่สามารถสรุปได้ว่ามีประชาชนเข้ารับการตรวจร่างกายทั้งสิ้น 948 คน จาก 1,882 คน!!!
ข้อมูลจาก ภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ในระยะยาวผู้ป่วยอาจเป็น "มะเร็ง" ต้องใช้เวลาติดตามผู้ป่วยยาวนานถึง 20 ปี ผู้ได้รับรังสีบางรายอาจไม่มีอาการปรากฏให้เห็น แต่จะแสดงผลออกมาในอนาคต พอง่ายๆก็เหมือน "ตายผ่อนส่ง" ซึ่งแพทย์ควรมีการขึ้นทะเบียนชาวบ้านเพื่อติดตามผล
ครั้งนั้นข่าวอุบัติเหตุทางรังสีจากสารกัมมันตรังสี "โคบอลต์-60" เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงทำให้คนไทยเกิดความกลัว “เสียขวัญ” วิตกกังวล และเกิดความรู้สึกต่างๆนานาเกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีที่ตนเองหรือญาติมิตรอาจต้องเกี่ยวข้อง หรือผู้ป่วยที่ต้องได้รับสารรังสี เพื่อการรักษาและบำบัดทางเคมีว่าถ้ามีความจำ เป็นต้องใช้ หรือการใช้สารรังสีอีก อาจมีการสะสมภายในร่างกาย จนอาจเกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยลืมคิดไปว่าการบำบัดรักษานั้นเป็นการฉายสารรังสีเข้าไปในร่างกาย เพื่อรักษาเฉพาะที่เท่านั้น รังสีไม่ได้มีการกระจายไปสู่ตำแหน่งอื่นเลย จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ได้รับการรักษามีความปลอดภัยมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาจากสารรังสี
อย่างไรก็ตาม "โศกนาฏกรรม" ที่เกิดขึ้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนเก็บของเก่าครั้งนั้น ทำให้มีผู้ถูกกัมมันตรังสีเสียชีวิตไป 3 ราย และด้วยความไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดการ "ต่อต้าน" การเผาศพผู้เสียชีวิต เพราะกลัวกัมมันตรังสีตกค้าง
เมื่อมีชีวิตคนเหล่านั้นก็ต้องดิ้นรนเร่ร่อนหาเช้ากินค่ำ พอตายศพยังต้อง "เร่ร่อน" ไม่มีวัดใดให้เผาเพราะประชาชน "สับสน" ต่อพิษสงของโคบอลต์-60 แม้แพทย์ สถาบันที่เกี่ยวข้องกับโคบอลต์-60 จะออกหนังสือรับรองความปลอดภัยก็ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้เกี่ยวข้องได้
สังคมไทยต่างรู้จักโคบอลต์ในแง่ลบ และรู้จักอย่างผิวเผินว่าเพียงแค่ "เหยื่อ" นั่งทับแท่งโคบอลต์ก็ก่อให้เกิดการบวมของอัณฑะในเวลาต่อมา และไม่นานต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเม็ดเลือดขาวและแดงถูกทำลาย ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และมีเลือดออกในอวัยวะต่างๆ จนเสียชีวิต อีก 2 คนก็เพียง "สัมผัส" กับแท่งโลหะที่เป็นเปลือกหุ้มหนาหนัก ก็มีอาการพองของผิวหนังและเสียชีวิตในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง ซึ่งพอจะเป็น "อุทาหรณ์" ย้ำเตือนถึงการมีวินัยในการใช้ประโยชน์ การดูแลและการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้น...
สิ่งที่ก่อประโยชน์มหาศาล...
ย่อมมีโทษมหันต์...
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี