ขวางตั้งข้อหา

‘สมเด็จช่วง’ส่งทนายโต้

จับตาแจง‘เบนซ์หรู’1สค.

DSIขอถกมส.ปมปาราชิก

วันที่ 29 กรกฎาคม ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน โดย นายประดับ โพธิกาญจนวัตร รองโฆษก พศ. แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมไม่ได้มีการนำกรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สรุปผลรายงานการครอบครองรถยนต์โบรานยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ ของสมเด็จช่วง ที่พบว่าเสียภาษีไม่ครบถ้วน และกรณีคดีความของ พระเทพญานมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาหารือ

DSIขอถกมส.ปม“ปาราชิก”

นายประดับ กล่าวต่อว่า เมื่อเร็วๆนี้ ดีเอสไอได้ทำหนังสือถึง พศ. แต่พศ.ยังไม่ได้แจ้งในที่ประชุมมส.รับทราบ โดยดีเอสไอขอพบผู้แทน มส. ที่เป็นพระสงฆ์ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดของพระธรรมวินัย เช่น เรื่องเกี่ยวกับการปาราชิกของพระสงฆ์ว่า มีองค์ประกอบอะไรบ้าง เพื่อป้องกันความผิดพลาด และเพื่อให้การพิจารณาเกิดความชัดเจน เป็นธรรมที่สุด อย่างไรก็ตาม คาดว่าการประชุม มส.ครั้งหน้า คือในวันที่ 19 สิงหาคม พศ.จะนำเรื่องนี้รายงานในที่ประชุม มส.ต่อไป

ทนายวัดปากน้ำแถลงโต้DSI1สค.

วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญ เปิดเผยถึงกรณีที่ ดีเอสไอแถลงเกี่ยวกับการครอบครองรถยนต์โบราณ ทะเบียน ขม.99 กรุงเทพมหานครว่า ผู้ครบครองรถยนต์ที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนจะมีความผิดตามมาตรา 161 (1) พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 โดยจะออกหนังสือมารับทราบข้อกล่าวหาหลังประเมินภาษีในส่วนที่ขาด ว่า หากดูข้อเท็จจริงให้ดีสมเด็จช่วง ไม่มีความผิดในส่วนนี้แน่นอน ดังนั้น เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของท่าน ตนจะจัดแถลงข่าวในวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคมนี้ เวลา 11.00 น.ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ เพื่ออธิบายให้ตรงกัน

พระประสารยันลุยปมสังฆราช

ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.) กล่าวว่า ฟังดีเอสไอแถลงคดีรถยนต์โบราณของสมเด็จช่วงแล้วยังรู้สึกคลุมเครือ ดังนั้น จะรอดูท่าทีก่อนจะมีการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ หากคณะสงฆ์ถูกคุกคามอย่างหนักและไร้เหตุผล ก็จะเดินหน้าเคลื่อนไหวเรื่องสวดมนต์ใหญ่ทันที

พระใกล้ชิดยันธัมมชโยยังอยู่ในวัด

วันเดียวกัน พระถวัลย์ศักดิ์ ยติสักโก ผอ.ฝ่ายการคลังวัดพระธรรมกาย ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร และนายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 เพื่อให้ปากคำถึงการบริหารการเงินภายในวัดพระธรรมกาย โดยใช้เวลาให้ปากคำนานกว่า 4 ชั่วโมงว่า ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากได้ให้การกับพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า พระธัมมชโย ยังอยู่ในวัดพระธรรมกายแน่นอน มีอาการป่วย ต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ แต่อาตมายังไม่มีโอกาสได้พบในช่วงนี้

พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนจะรวบรวมเอกสารพร้อมคำให้การของพระถวัลย์ศักดิ์ส่งให้อัยการคดีพิเศษประกอบการดำเนินคดีฟอกเงิน โดยพระถวัลย์ศักดิ์เป็นผู้มีชื่อเซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินของวัด ทั้งนี้ ในวันที่ 2 สิงหาคม พระมหาบุญชัย จะเข้าให้ปากคำอีกราย เชื่อว่าจะสามารถสรุปสำนวนสอบสวนประเด็นเพิ่มเติมตามที่อัยการสั่งสอบได้ภายในวันที่ 11 สิงหาคมนี้

ภาพมุมสูงฟ้องสาขาธรรมกายรุกป่า

ด้าน พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้ลงพื้นที่เกาะยาว จ.พังงา เพื่อส่งโดรนขึ้นบินสำรวจสภาพสิ่งปลูกสร้างและการครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินของสถานปฏิบัติธรรมมุกตะวัน สาขาของวัดพระธรรมกาย จากนั้นได้นำภาพถ่ายที่ระบุพิกัดที่ตั้งมาตรวจสอบเปรียบเทียบกับแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อพิสูจน์แนวเขตที่ดินกับร่องรอยการทำประโยชน์ในอดีต เบื้องต้นพบว่า มีที่ดินหลายแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในป่า ขณะที่เอกสาร นส.3 ประมาณ 20 แปลง ไม่สามารถระบุพิกัดที่ดินได้ พนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำชาวบ้านเจ้าของที่ดินข้างเคียงตามที่ระบุในเอกสาร นส.3 คาดว่าจะได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนภายในเดือนสิงหาคมนี้

ชาวบ้านแฉต้องจ่ายเงินซื้อน้ำจืด

ขณะที่แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า ในการลงพื้นที่เกาะยาวชาวบ้านได้ให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนถึงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในสถานปฏิบัติธรรมมุกตะวันว่า ในอดีตเนินเขาดังกล่าวชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าว แต่ในช่วงฤดูฝนน้ำจะท่วมล้นแปลงข้าวไหลเป็นน้ำตกไปตามลำรางสาธารณะ แอ่งน้ำดังกล่าวจึงเป็นแหล่งน้ำจืดสาธารณะ ต่อมาสถานปฏิบัติธรรมได้กว้านซื้อที่ดินและขุดแปลงข้าวให้เป็นอ่างเก็บน้ำลึก ทำให้น้ำไม่ไหลลงสู่ลำรางสาธารณะ ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อน้ำจากสถานปฏิบัติธรรม

อดีตเณรคำเศร้าขึ้นศาลนัดแรก

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการดำเนินคดี นายวีรพล สุขผล หรือ อดีตเณรคำ หลังถูกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จับตัวไว้ได้ว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม เวลา 10.45 น.(ตามเวลาท้องถิ่นแคลิฟอร์เนีย) ที่ตึก George E.Brown Jr.Federal Building and United States Courthouse เมืองรีเวอร์ไซด์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ศาลได้พิจารณาคดีอดีตเณรคำนัดแรก โดยอดีตเณรคำมาในชุดนักโทษเสื้อและกางเกงสีส้ม ถูกตีตรวนที่ข้อเท้าและใส่กุญแจมือ มีสีหน้าเศร้าหมอง ขณะที่ทนายความนำหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เตรียมประกันตัว

ศาลนัดพิจารณาครั้งหน้า-วืดประกัน

โดยการพิจารณาคดีใช้เวลา 30 นาที ผู้พิพากษาได้แจ้งให้อดีตเณรคำทราบถึงคดีที่ทางการไทยได้แจ้งมาทั้ง 8 ข้อหา ซึ่งมีคดีชำเราเด็กหญิงและพรากผู้เยาว์ เป็นข้อหาที่หนักที่สุด แต่ทุกข้อหาจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดจากข้อมูลและหลักฐานเพิ่มเติมที่ทางการไทยจะส่งมาให้ศาลสหรัฐฯ จึงขอให้มีการพิจารณาคดีนี้ต่อในครั้งหน้า ส่วนการพิจารณาคดีนัดแรกนี้ ผู้พิพากษา ไม่อนุญาตให้มีการประกันตัว และขอดูหลักฐานที่ถูกกล่าวหาให้มากกว่านี้

ดีเอสไอพร้อมให้ข้อมูลสหรัฐฯเพิ่ม

พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีที่ศาลประเทศสหรัฐฯ ไม่ให้ประกันตัว อดีตเณรคำ ว่า เป็นดุลยพินิจของศาลสหรัฐฯ ตนไม่อาจก้าวล่วง แต่อาจเป็นเพราะมีพฤติกรรมหลบหนีก่อนหน้านี้ โดยในส่วนของทางการไทยขณะนี้มีหน้าที่เตรียมพยานหลักฐานเผื่อมีการประสานของเอกสารเพิ่มเติมประกอบการพิจารณา