คำถาม ผมอยากทราบวิธีทำปุ๋ยหมักครับ ขอทราบขั้นตอนการผลิต และการใช้ด้วยนะครับ
บุญทรง ถาวรเสถียร
อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
คำตอบ ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการนำซาก หรือเศษเหลือจากพืช มาหมักรวมกัน และผ่านกระบวนการย่อยสลาย โดยกิจกรรมจุลินทรีย์ จนเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม เป็นวัสดุที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่แข็งกระด้าง และมีสีน้ำตาลปนดำ
ส่วนผสมของวัสดุที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยหมัก นักวิชาการ กรมพัฒนาที่ดิน ได้แนะนำวิธีการจัดทำและวิธีใช้ ไว้ดังนี้
เศษพืชแห้ง 1,000 กิโลกรัม
มูลสัตว์ 200 กิโลกรัม
ปุ๋ยไนโตรเจน 2 กิโลกรัม
สารเร่ง พด.1 1 ซอง
วิธีการกองปุ๋ยหมัก การกองปุ๋ยหมัก 1 ตันจะมีขนาดความกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 1.5 เมตร การกองมี 2 วิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุ วัสดุที่มีขนาดเล็ก ให้คลุกเคล้าวัสดุให้เข้ากัน แล้วจึงกองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนวัสดุที่มีชิ้นส่วนยาว ให้กองเป็นชั้นๆ ประมาณ 3-4 ชั้น โดยแบ่งส่วนผสมที่จะกองออกเป็น 3-4 ส่วน ตามจำนวนชั้นที่จะกอง มีวิธีการกองดังนี้
1. ผสมสารเร่ง พด.1 ในน้ำ 20 ลิตร นาน10-15 นาที เพื่อกระตุ้นให้จุลินทรีย์ออกจากสภาพที่เป็นสปอร์ และพร้อมที่จะเกิดกิจกรรมการย่อยสลาย
2. การกองชั้นแรก ให้นำวัสดุที่แบ่งไว้ส่วนที่หนึ่ง มากองเป็นชั้นมีขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 30-40 เซนติเมตร ย่ำให้พอแน่น และรดน้ำให้ชุ่ม นำมูลสัตว์โรยที่ผิวหน้าเศษพืชให้ทั่ว โรยปุ๋ยไนโตรเจนทับบนชั้นของมูลสัตว์ แล้วราดสารละลายสารเร่งให้ทั่ว โดยแบ่งใส่เป็นชั้นๆ หลังจากนั้น นำเศษพืชมากองทับ เพื่อทำชั้นต่อไป ทำเหมือนการกองชั้นแรก ทำเช่นนี้ อีก 2-3 ชั้น ชั้นบนสุดของการกองปุ๋ย ควรปิดทับด้วยเศษพืชที่เหลืออยู่ เพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้น
การดูแลรักษากองปุ๋ยหมัก
1. รดน้ำรักษาความชื้นในกองปุ๋ย รดน้ำให้กองปุ๋ยชุ่มอยู่เสมอให้มีความชื้น ประมาณ 50-60เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก ตรวจสอบโดยการหยิบวัสดุภายในกองปุ๋ยมาบีบดู อย่าให้เปียกถึงขนาดมีน้ำออกจากง่ามนิ้วมือ หรือเมื่อคลายมือออก จะไม่มีน้ำติดตามฝ่ามือ ถ้าหากความชื้นน้อยเกินไป จะทำให้กระบวนการย่อยสลายเกิดขึ้นได้ช้า แต่ถ้ากองปุ๋ยแฉะจนเกินไป จะทำให้การถ่ายเทอากาศไม่ดี เกิดสภาพขาดออกซิเจน จะมีผลกระทบต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ในกองปุ๋ย กระบวนการย่อยสลายจะเกิดขึ้นช้าเช่นกัน
2. การกลับกองปุ๋ยหมัก ให้กลับกองปุ๋ย 7-10 วันต่อครั้งเพื่อระบายอากาศ เพิ่มออกซิเจน ลดความร้อน และให้วัสดุคลุกเคล้าเข้ากัน ทำให้กิจกรรมของจุลินทรีย์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กรณีไม่มีแรงงานกลับกองปุ๋ย ให้ใช้ไม้ไผ่เจาะรูทะลุตลอดทั้งลำและเจาะรูด้านข้างตามข้อ หรือใช้ท่อเอสล่อนเจาะรูโดยรอบ ปักลงไปในกองปุ๋ยหมักให้ลึกรอบๆ กองปุ๋ย ห่างกันลำละ 50-70 ซม.จะช่วยการถ่ายเทอากาศของกองปุ๋ยได้ดีขึ้น
3. การเก็บรักษากองปุ๋ยหมักที่เสร็จแล้ว ถ้ายังไม่ได้นำปุ๋ยหมักไปใช้ทันที ควรนำปุ๋ยหมักที่ได้ไปเก็บไว้ในโรงเรือน การที่ปล่อยให้ปุ๋ยหมักตากแดดและฝนจะทำให้ธาตุอาหารพืชในปุ๋ยหมักสูญเสียไปได้
การพิจารณาปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว
1.สีของวัสดุเศษพืช ปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์ จะมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ
2.ลักษณะของวัสดุเศษพืช ปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์ จะมีลักษณะอ่อนนุ่ม ยุ่ย และขาดออกจากกันได้ง่าย ไม่แข็งกระด้างเหมือนวัสดุเริ่มแรก
3.กลิ่นของวัสดุปุ๋ยหมักที่สมบูรณ์ จะไม่มีกลิ่นเหม็น
4.ความร้อนในกองปุ๋ย หลังจากกองปุ๋ยหมัก 2-3 วัน อุณหภูมิภายในกองปุ๋ยจะสูงขึ้นระยะหนึ่ง แล้วจะค่อยลดลงจนใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอกกองปุ๋ยจะถือว่าเป็นปุ๋ยหมักที่สมบูรณ์ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบด้วย เพราะกรณีที่ความชื้นน้อยหรือมากไป อาจทำให้อุณหภูมิภายในกองปุ๋ยหมักลดลงเช่นกัน
5.สังเกตเห็นการเจริญของพืชบนกองปุ๋ยหมัก เมื่อกองปุ๋ยหมักใช้ได้แล้ว อาจมีพืชเจริญบนกองปุ๋ยหมักได้ แสดงว่าปุ๋ยหมักนำไปใส่ในดินได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อพืช
อัตราและวิธีการใช้ปุ๋ยหมัก ระยะเวลาที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ยหมัก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพืชที่ปลูก ควรใส่ปุ๋ยหมักในช่วงเตรียมดิน และไถกลบลงไปในดิน ขณะที่ดินมีความชื้นเพียงพอ ซึ่งจะทำให้ธาตุอาหารที่มีอยู่เป็นประโยชน์ต่อพืชสูงสุด
นาย รัตวิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี