ผงะ! พบเพิ่มอีก2ซาก‘กระทิง’ป่าทุ่งใหญ่ รวมดับ8ตัวแล้ว

ความคืบหน้ากรณี นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอสังขละบุรี และเจ้าหน้าที่กองร้อย ตชด.ที่ 134 พร้อมผู้นำท้องถิ่นบ้านกองม่องทะ หมู่ 2 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี และคณะสัตวแพทย์สังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) พบกระทิงเสียชีวิตอยู่บริเวณลำห้วยรันตี และพื้นที่ใกล้เคียงกันรวม 6 ตัว คาดว่ากระทิงพลาดตกลงไปในลำห้วยรันตี ที่มีกระแสน้ำป่าที่ไหลเชี่ยวรุนแรงเป็นเหตุทำให้กระทิงเสียชีวิตนั้น

ล่าสุด มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะเจ้าหน้าที่ชุดเดียวกัน ได้พบกระทิงเสียชีวิตเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ซาก ทั้ง 2 ซากติดอยู่กลางลำห้วยรันตี ที่พิกัด 47P0455991 E1676260 N มองจากสายตาพบสภาพขนหลุด หนังเปื่อย ขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง

เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารคาดการณ์ได้ว่ากระทิงที่พบทั้ง 2 ตัว เป็นกระทิงเพศอะไร และอายุประมาณเท่าไร เนื่องจากกระทิงทั้ง 2 ซาก ติดอยู่กลางลำห้วยที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง อีกทั้งระดับน้ำยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย จากสถานการณ์น้ำไหลหลากทำให้ไม่สามารถนำซากขึ้นมาพิสูจน์หาสาเหตุได้ แต่ในเบื้องต้นคาดว่ากระทิงทั้ง 2 ตัว เสียชีวิตด้วยสาเหตุเดียวกันกับกระทิงที่พบมาก่อนหน้านี้ 6 ซาก

ทั้งนี้ ในวันนี้(18 ส.ค.61) คณะเจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการเผาทำลายซากกระทิงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบาด รวมทั้งจะร่วมกันลาดตระเวนตรวจสอบกันอย่างละเอียดว่า จะมีกระทิงเสียชีวิต จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากเพิ่มเติมหรือไม่

สำหรับกระทิงฝูงดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 15-20 ตัว ซึ่งปกติแล้วกระทิงฝูงดังกล่าวจะข้ามไปมาหากินระหว่างโป่งร้อนกับเขาอีเหม่ โดยจะต้องเดินข้ามไปมาบริเวณต้นน้ำลำห้วยรันตี ที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันประมาณ 100 เมตร อีกทั้งจุดเดินข้ามค่อนข้างลื่น จึงคาดว่าเป็นเหตุทำให้ฝูงกระทิงพลาดตกลงไปในลำห้วยที่มีกะแสน้ำที่ไหลเชี่ยวรุนแรง และเสียชีวิตดังกล่าว

จากการผ่าซากพิสูจน์ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังพบตะกอนทรายอุดตันอยู่ที่หลอดลมของกระทิงเป็นจำนวนมาก และในอดีตที่ผ่านมาก็เคยพบกระทิงเสียชีวิตในลักษณะเดียวมาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยเสียชีวิตจำนวนมากเท่าครั้งนี้มาก่อน