วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กลายเป็นเรื่องยืดเยื้อและอีนุงตุงนังไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับกรณีการ “แบน” วัตถุอันตราย 3 ชนิด พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟรเซต ภายหลังจากคณะกรรมการศึกษาผลกระทบสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายรัฐมนตรี เป็นประธาน เตรียมตั้งอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาข้อมูลอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาสารพิษความเสี่ยงสูงทั้ง 3 ชนิดอีกรอบหนึ่ง โดยมีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับหน้าเสื่อเป็น “คนกลาง” นั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการชุดดังกล่าว
แม้เรื่องนี้จะเข้าใจได้ว่าเป็น “เจตนาดี”ของคุณสุวพันธุ์ ที่ต้องการหาผลสรุปเกี่ยวกับ “พิษภัย” ของสารเคมีทั้ง 3 ชนิดที่เป็นกลางให้มากที่สุดและได้รับการยอมรับมากที่สุด เพราะเรื่องนี้มีทั้งคนหนุน คนคัดค้าน และไปเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์” หลายหมื่นล้านบาท จากการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิด
แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องบอกว่า มันจำเป็นหรือไม่ที่ต้องตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชุด เพราะหากย้อนกลับไปนับตั้งแต่“คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” มีมติให้แบนสารเคมี 2 ชนิด คือ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส รวมถึงให้มีการจำกัดการใช้ไกลโฟรเซต เมื่อเดือนเมษายน 2560 จนถึงผ่านมาถึงวันนี้ เรามีคณะกรรมการที่ได้พิจารณาเรื่องนี้ไปแล้วถึง 5 ชุด รวมทั้งชุดของคุณสุวพันธุ์
ดังนั้นถ้าจะให้พูดในฐานะ “คนดู” หรือประชาชนที่อยู่วงนอก มันก็ต้องบอกว่า แค่นี้มันก็ควรจะเพียงพอแล้วหรือไม่ที่จะได้ข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทอดเวลาออกไปอีก
ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ก็คงบอกได้ว่า ตลอดปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ “ข้อมูล” ไม่เพียงพอ หรือข้อมูลเกี่ยวกับพิษภัยของสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ของใครผิด หรือของใครถูก เพราะลำพังเพียงไล่ไทม์ไลน์ผลการศึกษาของแต่ละฝ่าย รวมถึงตรวจสอบขั้นตอนกระบวนการวิจัย และเรียกข้อมูลของแต่ละฝ่ายมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่
ข้อมูลผลศึกษาสารตกค้างที่ จ.หนองบัวลำภู ของ “ม.นเรศวร” ว่ายังไง ไปสวนทางกับ “กรมวิชาการเกษตร” ได้ยังไง.. กระบวนการเก็บตัวอย่างของใครเป็นยังไง ใครกันแน่มั่วผลการตรวจสอบ
หรือแม้แต่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับการพบพาราควอตตกค้างในขี้เทาทารก ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาของเด็ก ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่ได้หยิบมาพิจารณาด้วย มันมีเนื้อหาเป็นยังไง เชื่อถือได้หรือไม่
เรื่องแบบนี้มันไม่ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาใหม่หรอกครับ แค่เรียกนักวิจัย เรียกผู้เชี่ยวชาญมาสอบถามก็ทราบกันแล้วว่า ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
แต่ปัญหามันอยู่ที่ จะมีใคร “กล้า” ชี้ขาดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมามากกว่า
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี