สพฉ.แจงรถพยาบาลขนยาบ้าไม่ใช่รถที่อยู่ในระบบของสพฉ. เผยถูกยุติการรับรองไปเป็นระยะเวลาหลายปีแล้วเนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะในการทำงาน เลขาสพฉ.ลั่นไม่สนับสนุนรถที่ทำผิดกฎหมายในทุกๆ กรณี พร้อมแนะประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องรถที่ไม่ถูกต้องผ่านแอพพลิเคชั่น EMS Certified เปิดสายด่วนให้ประชาชนแจ้งเมื่อเจอรถต้องสงสัยได้ตลอด24ชั่วโมง
ภายหลังจากที่มีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมรถพยาบาลกลุ่มหนึ่งที่ขนยาเสพติดโดยใช้รถพยาบาลเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่นั้น ล่าสุดวันนี้ (10 ก.ย.61) ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้ออกมาระบุถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า จากข้อมูลที่เรารับทราบจากข่าวและจากสื่อมวลชนและเราได้ทำการตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วเราพบกว่ารถคันที่ใช้ก่อเหตุนั้นไม่ใช่รถที่อยู่ภายใต้ระบบของ 1669 โดยจะมีรถอยู่ 1 คัน ที่ติดสติ๊กเกอร์สีเขียวที่เหมือนผ่านการรับรองมาตรฐานรถจากเรา ซึ่งเราเคยรับรองรถคันดังกล่าวจริง และรถคันดังกล่าวเป็นรถหน่วยเสริมของท้องถิ่นแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นรถของบริษัทเอกชนที่ทางท้องถิ่นแห่งนั้นได้จ้างให้มาดำเนินงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ โดยรถคันดังกล่าวได้ถูกยุติการรับรองไปเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะในการทำงานต่อ เพียงแต่ว่าเขาไม่เอาสติ๊กเกอร์ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นรถที่ยังทำงานในระบบอยู่
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่าแม้รถคันดังกล่าวจะอยู่นอกระบบของ สพฉ.แต่นโยบายของ สพฉ.เราชัดเจนคือ ไม่สนับสนุนการทำผิดกฎหมายในทุกๆ กรณี ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร หรือการขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในช่วงที่ไม่ได้มีการไปรับหรือส่งผู้ป่วย เราก็ไม่สนับสนุนให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดกฎหมายไม่ว่าจะกรณีใดๆ ยิ่งเป็นการขนยาเสพติดยิ่ง เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรับได้ เพราะผิดทั้งกฎหมายบ้านเมืองและผิดทั้งจริยธรรม ที่นำรถที่จะต้องใช่ส่งผู้ป่วยฉุกเฉินมาทำเช่นนี้
เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สพฉ.เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งเรามีอำนาจหน้าที่ในการที่จะกำกับมาตรฐานเกี่ยวกับเรื่องของหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินและผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินและสถานพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยที่ผ่านมา สพฉ.ได้ร่วมกับหลากหลายหน่วยงานจัดตั้งสายด่วน 1669 ขึ้นมา และไปการทำงานไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยภายในระบบของ 1669 นั้น จะมีหน่วยปฏิบัติการที่ขึ้นทะเบียนกับ 1669 ซึ่งหมายความว่าจะมีรถที่อยู่ในระบบปฏิบัติการในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งในส่วนของภาครัฐ เช่น โรงพยาบาลของรัฐ และโรงพยาบาลของเอกชน ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาทิ เทศบาลองค์การบริหารส่วนตำบล และในส่วนของมูลนิธิสมาคม นิติบุคคลต่างๆ ซึ่งจากการขึ้นทะเบียนหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน 1669 ของเราทั่วประเทศจะมีทั้งหมด 8,700 กว่าหน่วย และเรามีรถปฏิบัติการฉุกเฉินที่อยู่ในระบบและผ่านการจดทะเบียนตามมาตรฐานแล้ว 10,000 คัน
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ รถฉุกเฉินที่จะผ่านการตรวจรับรองจะต้องจดทะเบียนถูกต้องตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ก็จะต้องห้ามดัดแปลง และก็จะต้องเป็นป้ายทะเบียนสีขาวดำ เพื่อให้ตรงไปตามกฎหรือระเบียบของกรมขนส่งทางบก ถ้าเกิดเป็นรถตู้ประเภทรถที่เกิน 7 ที่นั่ง ก็จะเป็นทะเบียนขาวฟ้า อันนี้ก็จะสามารถที่จะมีเตียงเพื่อใช้รองรับผู้ป่วยได้แต่ที่นั่งต้องเกิน 7 ที่นั่ง โดยส่วนใหญ่ในสภาพปัจจุบันตามความเป็นจริง รถตู้เวลาเป็นเก้าอี้นั่งก็จะเกิน 7 ที่นั่ง ก็จะเป็นทะเบียนขาวฟ้า แต่ว่าเวลาไปดัดแปลงก็จะต้องเป็นทะเบียนขาวดำ ซึ่งจะต้องเป็นการไปจดทะเบียนหรือไปขออนุญาตจากรมการขนส่งให้เรียบร้อย ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เกี่ยวกับ สพฉ.แต่ว่าเป็นส่วนที่หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินหรือว่ารถฉุกเฉินเหล่านั้นจะต้องไปดำเนินการมาให้เรียบร้อย
โดยนอกจากรถจะต้องเรียบร้อยแล้ว บนรถเองก็จะต้องมีคน จะต้องมีพาหนะ มีอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในนั้นครบตามมาตรฐาน เมื่อผู้ขออนุญาตดำเนินการมาเรียบร้อยแล้ว เราถึงจะรับรองมาตรฐานในการออกปฏิบัติงาน เพื่อที่จะไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการขออนุญาตจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการที่จะใช้สัญญาณไฟวับวาบ และการใช้งานเสียงไซเรน ซึ่ง สพฉ.ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่อนุญาตในการใช้เสียงไซเรน แต่เป็นเรื่องของตำรวจ ดังนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องของมาตรฐานในการขออนุญาตขึ้นทะเบียนรถฉุกเฉินแล้วนั้น จะมีการบูรณาการหลายกฎหมายเข้ามาด้วยกัน ซึ่ง สพฉ.จะเป็นหน่วยที่ควบคุมกำกับและรับรองเพื่อที่จะส่งไปตำรวจให้เป็นผู้ที่อนุญาต
สำหรับประชาชนทั่วไปที่ต้องการตรวจสอบว่ารถพยาบาลฉุกเฉินที่เราเห็นวิ่งอยู่ตามท้องถนนนั้นเป็นรถที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสพฉ.แล้วหรือยังก็สามารถตรวจด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยแอพพลิเคชั่น EMS Certified ที่ทาง สพฉ.เราได้จัดทำขึ้น โดยเมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นในระบบสมาร์ทโฟนมาแล้ว ประชานสามารถตรวจสอบได้ 2 ช่องทาง คือ 1. ถ่ายรูปถ่ายรูป คิวอาร์โค้ด ของรถปฏิบัติการฉุกเฉินหรือรถกู้ชีพฉุกเฉิน เพื่อนำมาสแกนในแอพพลิเคชั่น ว่าได้ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วหรือยังถ้าไม่ขึ้นในระบบแสดงว่ารถคันดังกล่าวยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และ 2.ตรวจสอบได้โดยการพิมพ์เลขทะเบียนรถ แล้วเลือกชื่อจังหวัดของรถคันนั้น ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่ารถปฏิบัติการฉุกเฉินหรือรถกู้ชีพฉุกเฉินคันดังกล่าวผ่านมาตรฐานหรือไม่เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีวิธีที่สังเกตง่ายๆ ได้อีกอย่างว่ารถปฏิบัติการฉุกเฉินที่เราเห็นนั้นเป็นรถที่วิ่งในระบบรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉินหรือกระทำการอย่างอื่น คือ ในระบบการรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉินตามระบบ EMS 1669 เรามีการจำกัดพื้นที่ให้วิ่งได้ภายในระยะทาง 10 กิโลเมตร ซึ่งผมเชื่อว่าในพื้นที่ 10 กม.เจ้าหน้าที่ตำรวจกับรถปฏิบัติการจะต้องรู้จักกันอยู่แล้วดูไม่ยาก แต่ถ้าเป็นกรณีส่งต่อระหว่างจังหวัดหรือนอกพื้นที่ รถปฏิบัติการจะต้องเขียนชื่อโรงพยาบาล และติดสติ๊กเกอร์ที่ชัดเจน แต่ถ้าใช้รถตู้สีขาวไม่เขียนอะไรเลย เขียนแค่คำว่า 1669 กับแอมบูแล๊นซ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะรู้และสามารถเรียกตรวจค้นได้เลย
"ผมอยากให้ประชาชนช่วยกันสอดส่อง และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรายบุคคล ซึ่งในทุกๆ วงการจะมีทั้งคนดีและคนร้าย ถ้าเราเห็นคนร้ายคนไม่ดีในวงการของเรา เราต้องรีบคัดออก และอยากให้กำลังใจคนดีๆ ที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วย และอยากฝากบอกให้ประชาชนให้ช่วยกันตรวจสอบ ถ้าเราเห็นรถที่ดูแล้วไม่น่าจะได้มาตรฐาน หรือเป็นรถที่น่าสงสัย สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที หรือตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชั่น EMS Certified และแจ้งหน้าที่ สพฉ.ผ่านหมายเลข 02-872-1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง" ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี