ปิดบัญชีป่าแหว่ง! เครือข่ายฯจ่อร้อง‘ปปช.-สตง.’สอบพิรุธส่อเอื้อเอกชน
29 ก.ย.61 ที่โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าจัดประชุม “จะปิดบัญชีป่าแหว่งอย่างไร” จากกรณีโครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการ และข้าราชการยุติธรรมในพื้นที่ป่าเชิงดอยสุเทพ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้ ที่ประชุมเครือข่ายได้บอกเล่าถึงสถานการณ์ต่างๆ จากการเรียกร้อง และเปิดข้อมูลลับส่อทุจริตโครงการป่าแหว่งให้ที่ประชุมทราบ ก่อนที่ออกแถลงข่าวสื่อมวลชนถึง “แนวทางปิดบัญชีป่าแหว่ง” โดยมีเนื้อหาระบุว่า เรื่อง “มีมติยื่นร้องให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย กรณีความสัมพันธ์และผลประโยชน์ทับซ้อนและการปิดบังข้อมูลการประมูลโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่” และส่อว่าอาจจะมีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนผู้รับเหมาทั้งในระยะออกแบบ และการก่อสร้าง
กรณีแรก เครือข่าย พบว่า นายวิทยา เกื้อกูลธเนศ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานออกแบบและก่อสร้างสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย (อุเทน 46) กับ นายวิศัลย์ ศศิธรานนท์ ผู้บริหารและกรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท เกทเวย์ อาร์คิเท็ค จำกัด ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็นผู้ออกแบบโครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มีหลักฐานภาพถ่ายและข่าวในสื่อมวลชนแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน แม้ฝ่ายหนึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารงานออกแบบและก่อสร้าง กับอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะบริษัทผู้รับเหมาที่รับงานจากสำนักงานศาลยุติธรรมแล้ว
ข้อสงสัยสำคัญ การได้รับการคัดเลือกให้รับงานออกแบบโครงการ ‘บ้านป่าแหว่ง’ ในครั้งนั้น ไม่ปรากฏในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ตรวจสอบเพิ่มพบว่า บริษัท เกทเวย์ อาร์คิเท็ค จำกัด เคยรับงานและเป็นคู่สัญญากับสำนักงานศาลยุติธรรมอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ปรากฏในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การออกแบบโครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการ ‘บ้านป่าแหว่ง’ ที่ อ.แม่ริม ประสบปัญหาจนเกิดความล่าช้าใช้เวลาก่อสร้างนานร่วม 5 ปีจากกำหนดเดิมไม่เกิน 2 ปี และต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสัญญาหลายครั้งปรากฏในบันทึกท้ายสัญญา ทั้งยังพบว่าบ้านพักหลายหลังตั้งบนพื้นที่ลาดชันไม่เหมาะสม จึงควรจะมีการตรวจสอบว่าในขั้นตอนการกำหนดขอบเขตงานออกแบบก่อสร้างมีข้อผิดพลาดไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ หรือ มีการเอื้อประโยชน์กำหนดคุณสมบัติเอกชนผู้รับงานหรือไม่
กรณีที่สอง การประกวดราคาหาผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการและอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่โปร่งใส แบ่งโครงการออกเป็นสามสัญญา ได้เอกชนรายเดียวกันเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และมีการปกปิดข้อมูลไม่แจ้งเข้าระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดว่า เหตุใดจึงได้เอกชนรายเดิมในการประมูลสัญญาที่ 2 และ 3
โครงการนี้มีการแบ่งเป็นสามสัญญา คือ สัญญาแรกทำกันเมื่อ 19 มิถุนายน 2556 ให้ก่อสร้างบ้านพักระดับประธานและรองฯ จำนวน 9 หลัง บวกกับอาคารชุด 64 หน่วย มูลค่า 342,432,710.28 บาท ขั้นตอนการประกวดราคา มีผู้ซื้อซอง 26 ราย ยื่นจริง 4 ราย ได้บริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์. จำกัดเป็นผู้ชนะและได้รับคัดเลือกทำสัญญา
โครงการแรก ได้แจ้งรายละเอียดเข้าระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐครบถ้วน ยังทำให้สื่อมวลชนเช่น สำนักข่าวอิศรา และ เพจปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน เคยใช้รายงานสกู๊ปข่าวนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าสัญญาที่ 2 ก่อสร้างบ้านพักและอาคารชุดส่วนที่เหลือ มูลค่า321,670,000 บาท ซึ่งจัดขึ้นในช่วงต้นปี 2557 กับสัญญาที่ 3 ก่อสร้างอาคารสำนักงานศาลอุทธรณ์ภาค 5 มูลค่า 290,885,000 บาท เมื่อกลางปี 2557 กลับไม่มีรายละเอียดแจ้งลงในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะรายละเอียดการยื่นเสนอราคา จำนวนเอกชนที่ซื้อซองและเอกชนที่ยื่นราคา เพราะว่าในที่สุดเอกชนรายเดิมที่ได้สัญญาแรกคือ บริษัทพี.เอ็น.เอส.ไซน์. จำกัด ได้สัญญาก่อสร้างทั้งหมดไป การปกปิดข้อมูลสำคัญไม่แจ้งเข้าระบบเพื่อให้สาธารณะตรวจสอบได้ เป็นข้อพิรุธที่สมควรให้หน่วยงานตรวจสอบเข้ามาดำเนินการให้เกิดความกระจ่าง
ทั้งนี้ จนกระทั่งล่าสุด สำนักงานศาลยุติธรรมยังไม่สามารถรับมอบงานจากผู้รับเหมาได้ตามกำหนด ทั้งที่มีการต่อเวลาก่อสร้างนานกว่าสามปี รอบสุดท้ายกำหนดแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จแต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ได้ต่ออายุสัญญาหรืออนุญาตให้เอกชนผู้รับเหมาดำเนินการต่อเช่นไร เพราะว่าตามสัญญาที่ทำไว้ หากบริษัทผู้รับเหมาไม่สามารถส่งมอบงานก่อสร้างบ้านพักเดี่ยวและอาคารชุดได้ทันกำหนดจะต้องถูกปรับเงินและค่าใช้จ่ายจ้างผู้คุมงานตกรวมกันถึงวันละประมาณ 350,000 บาท คำนวณเป็นตัวเงินกรณีต้องปรับ นับจากวันที่ 18 มิถุนายนมาจนถึงประมาณสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งก็ยังไม่สามารถส่งมอบได้ คิดเป็นเงินกว่า 25 ล้านบาท
จึงเป็นคำถามชวนสงสัยว่า หากไม่มีการปรับแต่อนุโลมให้เอกชนก่อสร้างต่อไปเรื่อยๆ จะเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนผู้รับเหมาและทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ กรณีนี้สำนักงานศาลยุติธรรมไม่เคยชี้แจงใดๆ ต่อสาธารณะเลยทั้งๆ ที่ปัญหา “ป่าแหว่ง” เป็นเรื่องสำคัญและเป็นปัญหาที่สาธารณะให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ขอเรียกร้องให้สำนักงานศาลยุติธรรมเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้ให้เป็นที่รับรู้ และขอให้เร่งรัดส่งมอบงานจากผู้รับเหมาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ด้านนายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 55 เครือข่ายที่ร่วมประชุมมีมติประเด็นสำคัญ หลังสำนักงานศาลเพิกเฉยข้อเรียกร้องของประชาชนชาวเชียงใหม่ให้ส่งมอบพื้นที่ รื้อ และย้ายผู้พักอาศัยลงมาอยู่ข้างล่าง แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้เราจะจัดชุมนุมต่อต้านแล้ว วันนี้เราจึงจำเป็นต้องขุดคุ้ยและนำเสนอเอกสารบางอย่าง ซึ่งส่อให้เห็นว่าสำนักงานศาลไม่ได้ทำถูกกฎหมายทั้งหมด มีข้อสงสัยหลายอย่าง โดยเฉพาะความสนิทสนมระหว่างผู้อำนวยการสำนักบริหารงานออกแบบและก่อสร้างสำนักงานศาลยุติธรรม กับบริษัทที่ได้ประมูล เป็นประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลว่าทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมีการฮั้วหรืออะไรหรือไม่
ทั้งนี้ เราจะยื่นให้ตรวจสอบ และการส่งมอบงานที่ช้าและมีการต่อสัญญามาเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2561 เกือบจะ 100 วัน หากคิดเป็นค่าปรับก็เกือบ 25 ล้านบาท เราสงสัยว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับเหมาหรือไม่ ไม่มีการปรับหรืออะไรที่น่าสงสัย สุดท้ายคือ 3 สัญญา มีข้อสงสัยมากมาย โดยเฉพาะการก่อสร้างเอามารวมกันมีการฮั้วหรือเปล่า เราไม่อยากขุดคุ้ยแต่จากนี้ไปเราจะนำข้อมูลที่เราได้รับมาจากแหล่งข่าวจำนวนมากมาเสนอเป็นตอนๆ เพราะเป็นความนิ่งเฉยของศาลและรัฐบาลไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการส่งมอบงานที่ควรจะต้องปรับ เพราะนี่เป็นเงินหลวงอย่าคิดว่าจะปิดเป็นความลับได้
“ถึงเวลาที่เราจะสัญจรไปตามที่ต่างๆ ทุกเดือนเพื่อบอกกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะบ้านป่าแหว่งเป็นสิ่งที่ชาวเชียงใหม่เห็นอยู่ทุกวัน ทั้งการเคาะระฆัง ผูกริบบิ้น และหน้าหนาวนี้จะมีการเดินป่าแหว่งสำรวจธรรมชาติ ประชุมนักกฎหมาย คนเชียงใหม่ไม่หยุดและต้องการขอคืนดอยสุเทพ วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. เราจึงจะเข้ายื่นให้มีการตรวจสอบต่อ ปปช.” นายธีระศักดิ์ กล่าว
ขณะที่นายบัณรส บัวคลี่ โฆษกเครือข่าย กล่าวว่า ข้อพิรุธแรก คือ ความสัมพันธ์ของผู้จ้างและผู้รับจ้างที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน จ้างออกแบบแล้วมีเงื่อนไขและเขียนไว้อย่างไรจึงออกแบบได้ทำให้ต้องยืดเวลาไปตั้ง 5 ปี ผิดพลาดจุดไหน มีการต่ออายุสัญญาไปไม่แจ้งประชาชนมีการปรับหรือไม่ รัฐเสียประโยชน์ 20 กว่าล้าน จากงานล่าช้า เพราะรัฐต้องจ่ายเงินให้คนที่ต้องเช่าบ้าน และไม่เคยมีการชี้แจงใดๆ มีการเอื้อประโยชน์กันหรือไม่เพราะสัญญาที่ได้มาแบ่งเป็น 3 สัญญา 900 กว่าล้าน สัญญาแรกมีรายละเอียดชัดเจน แต่สัญญาที่ 2 และ 3 ไม่มีรายละเอียดใดว่าทำไมเลือกผู้รับเหมารายนี้ซึ่งเป็นบุคลเดียวกันคืออดีต สส.เชียงใหม่
“เราจึงจะยื่นให้ ปปช. สตง. ศาลฎีกา และกบศ. ดูว่าผิดปกติตรงไหน หรือว่าจะเป็นแค่ความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่บางระดับ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นเรานำมารวมกันเป็นต้นตอของความผิดปกติว่าเหตุใดไม่มีการเปิดเผยแบบแปลนให้กรรมการระดับจังหวัด และ อบต. จนบัดนี้ก็ยังไม่ให้ มีการออกแบบผิดพลาดหรือเปล่า เพราะมีการเอื้อประโยชน์ตั้งแต่แรกหรือไม่ ไม่เลือกคนที่อยู่ภาคเหนือที่ไม่เข้าใจพื้นที่ เพราะบริษัทอยู่กรุงเทพฯ เกี่ยวพันกันหมด รวมไปถึงการไม่ส่งมอบงานเพราะมีความผิดพลาดไปหมด หรือแกล้งยืดเยื้อไปเพราะไม่อยากให้มีการคืนพื้นที่เพื่อให้ผ่านรัฐบาลหรือไม่ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องยื่นให้เรื่องเคลื่อนไหวไปข้างหน้า” นายบัณรส กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี