19 ต.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องงานวิจัยกัญชา ระบุว่า
"งานวิจัยว่าด้วยเรื่อง “กัญชา” เสพติดยากกว่า เหล้าและบุหรี่ จริงหรือ? สถานการณ์เรื่องกัญชาในเวทีระหว่างประเทศนั้น กำลังน่าจับตาเป็นยิ่งนัก หลายประเทศนอกจากจะมีการอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ได้ ยังเร่งดำเนินการวิจัยและจดสิทธิบัตรการใช้สารสกัดกัญชาในรูปแบบต่างๆ นับเป็นจังหวะการช่วงชิงผลประโยชน์ในกัญชาในสภาวะที่หลายๆประเทศในเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยยังเคลื่อนไหวช้าอยู่มาก
ตัวอย่างที่วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งพยายามจะจดอนุสิทธิบัตรวิธีการสกัดสารสำคัญในกัญชาก็ไม่สามารถทำได้ในเวลานี้ เพราะด้วยเหตุผลว่ากัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ หรือแม้วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กระทั่งจะขอทดลองปลูกกัญชาในพื้นที่ควบคุมเพื่อวิจัยในหลายมิติก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะภาครัฐอ้างว่ายังไม่มีระเบียบ
ในขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง ก็ได้ปรับตัวหันมาเพิ่มสินค้าทำเครื่องดื่มกัญชา เช่นเดียวกับ บุหรี่ชื่อดังบางยี่ห้อก็เตรียมผลิตกัญชาในรูปของมวนบุหรี่ เพื่อป้อนให้กับตลาดในประเทศที่ปลดล็อกกฎหมายเพื่อให้กัญชามาใช้เพื่อความรื่นรมย์หรือบันเทิงได้ ลองคิดดูว่าถ้ากัญชาเป็นยาเสพติดร้ายแรงจริงในมุมมองจากทุกประเทศ เหตุใดบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จึงเตรียมความพร้อมได้ถึงขนาดนี้
แต่ประเทศไทยอย่าเพิ่งไปถึงเรื่องการปลดล็อกเพื่อความรื่นรมย์บันเทิงเลย เอาเฉพาะความจำเป็นสำหรับผู้ป่วย ด้วยการปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามมากมาย นอกจากจะมีสาเหตุมาจากอิทธิพลของผลประโยชน์ในกลุ่มต่างๆที่ยังไม่ขอกล่าวถึงในบทความนี้ แต่เอาเฉพาะในเรื่องความวิตกกังวลของคนทั่วไปก็คือปัญหาในมิติของ “ยาเสพติด” ว่าการปลดล็อกกัญชาจะสร้างปัญหารุนแรงให้กับประเทศเพียงใด
สำหรับทัศนคติของคนไทยเกี่ยวกับเรื่องกัญชาในทางการแพทย์นั้น ปรากฏผลเป็นผลการสำรวจของนิด้าโพล, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) , กัญชา ประโยชน์ หรือ โทษ, การสำรวจระหว่างวันที่ 16 – 17 สิงหาคม 2561 เผยแพร่วันที่ 19 สิงหาคม 2561 โดยผลสำรวจประชากรจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่างพบเรื่องที่น่าสนใจว่า
“68.24 %เคยได้ยินเกี่ยวกับประโยชน์ของ กัญชา ที่สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้, 72.40% เห็นด้วยเรื่องการมีกฎหมายเฉพาะให้ใช้ กัญชา เป็นยารักษาโรคโดยถูกกฎหมายในอนาคต, และ 54.32% เห็นว่าหากในอนาคตมีกฎหมายรับรองกัญชา เพื่อการรักษาโรคได้แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐของไทยจะไม่สามารถควบคุมการใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคได้ เพราะ กัญชาถูกนำไปใช้เป็นสารเสพติด อาจจะมีการลักลอบนำมาใช้เสพมากกว่าการนำมาทำเป็นยารักษาโรค และเจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายไม่จริงจัง ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา” [1]
จากผลสำรวจข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเร็วกว่าภาครัฐเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเร็วของโชเชียลมีเดียในยุคปัจจุบัน ได้ส่งผลทำให้ประชาชนชาวไทยจำนวนมากรับรู้เรื่องราวว่ากัญชาสามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ และประชาชนส่วนใหญ่ก็สนับสนุนให้ใช้ในทางการแพทย์ด้วย แต่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อด้วยว่าเจ้าหน้าที่รัฐของไทยจะควบคุมไม่ได้ในท้ายที่สุด และกลายเป็นสารเสพติดที่จะสร้างปัญหาต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก (World Health Organization or WHO) ได้ให้ความหมายของสิ่งเสพติดว่า "สิ่งเสพติด" หมายถึงสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไปโดยไม่สามารถหยุดเสพได้ และจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่างกายและจิตใจขึ้น
ดังนั้นจะเห็นว่ายาเสพติดมีหลายชนิด ตั้งแต่เฮโรอีน โคเคน ยาบ้า ฝื่น ซึ่งจัดเป็นยาเสพติดที่รุนแรง ซึ่งทั่วโลกต้องมีการกวาดล้างกันอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะยังมีการผ่อนปรนอยู่ก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล้า และบุหรี่ ก็เสพติดได้เหมือนกัน แต่กลับไม่เคยถูกกำหนดกฎหมายในฐานะเป็นยาเสพติดเลย ทั้งนี้ก็เพราะความรุนแรงของการเสพติดของสารเสพติดแต่ละชนิดนั้นไม่เท่ากัน
จึงมีคำถามอยู่ว่า “กัญชา” ซึ่งมีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดนั้น เสพติดได้จริงหรือไม่ และการเสพติดรุนแรงระดับใด
ผลจากงานวิจัยพบว่าคนที่เคยเสพกัญชาเมื่อเลิกใช้กัญชาแล้ว จะมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย นอนหลับยาก เจริญอาหารน้อยลง มีความอยากใช้กัญชา กระสับกระส่ายไม่ได้พักผ่อน อาการเหล่านี้จะเป็นมากที่สุดใน 1 -2 สัปดาห์นับแต่วันที่เลิกใช้กัญชา [2] [3]
นั่นคือการรุนแรงที่สุดเวลาเลิกกัญชา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้รุนแรงไปกว่าการเลิกเหล้าและบุหรี่แต่ประการใด
ทั้งยังมีผลการวิจัยระบุว่าการเสพติดกัญชาจะเกิดขึ้นเมื่อสมองปรับตัวในการรับสารในกัญชาได้ในปริมาณที่มาก โดยการปรับตัวของสารสื่อประสาทและต่อมรับกัญชาในร่างกายมนุษย์ (Endocannabinoid) จะมีความไวต่อสารแคนนาบินอยด์ในกัญชาน้อยลดลง [4] [5] หรือพูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจมากขึ้นก็คือร่างกายมีความชินชาต่อกัญชามากขึ้น จึงต้องใช้กัญชาในปริมาณมากขึ้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาอัตราการเสพติดกัญชานั้นพบจากผลการศึกษาว่า จำนวนผู้ที่ใช้กัญชานั้นมีอัตราความเสี่ยงสะสมที่จะเสพติดกัญชา 8.9% , ต่ำกว่าอัตราสะสมของผู้ที่เสพติดโคเคน 20.9% ต่ำกว่าอัตราสะสมผู้ที่ติดดื่มแอลกอฮอล์ 22.7% และต่ำกว่าอัตราสะสมของผู้ที่ติดบุหรี่หรือนิโคติน 67.5% [6] [7] (ดูภาพประกอบบทความ)
แม้ว่าประมาณการความน่าจะเป็นสะสมในการเสพติดกัญชา น้อยกว่านิโคติน (บุหรี่), แอลกอฮอล์, โคเคน อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็ยังพบอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยก็คือ อายุของผู้ที่เริ่มใช้กัญชาเป็นเท่าไหร่ เพราะถ้าเร่ิมใช้กัญชาตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะเสพติดกัญชามากกว่าเริ่มใช้กัญชาตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยหากเริ่มเสพกัญชาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นก่อนอายุ 20 ปี ความน่าจะเป็นในการเสพติดกัญชาจะเพิ่มขึ้นเป็น 17% [8], [9]
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเริ่มเสพกัญชาตั้งแต่อายุยังน้อย จะมีผลทำให้เสพติดกัญชาได้มากกว่าการเริ่มใช้กัญชาในตอนอายุมากแล้ว(17%) แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็ยังมีอัตราการเสพติดสะสมน้อยกว่าโคเคน (20.9%) แอลกอฮอล์ (22.7%) และบุหรี่ (67.5%)อยู่ดี
นั่นหมายความว่าหากจะพิจารณากัญชาในฐานะเป็นพืชเสพติดแล้ว เมื่อกัญชามีความรุนแรงเสพติดน้อยกว่าบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว มาตรการและควบคุมไม่ควรจะเกินความเข้มข้นเกินมาตรฐานบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่
อย่างไรก็ตามในแนวทางเภสัชศาสตร์ยุคใหม่ ที่เน้นสารสกัดสำคัญออกมาจากตัวกัญชา ก็ย่อมต้องส่งผลทำให้สารสำคัญในกัญชา ที่มีการจับกุมได้ในสหรัฐอเมริกามีปริมาณเข้มข้นทยอยสูงเพิ่มขึ้นไปด้วยตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา [10]
โดยในช่วงต้นของทศวรรษที่ 1990 ( พ.ศ.2533 - พ.ศ. 2542) กัญชาที่มีการจับกุมได้ที่สหรัฐอเมริกานั้นมีสาร THC เฉลี่ยประมาณ 3.8% แต่เมื่อเทียบกับเมื่อปี พ.ศ. 2557 กัญชามีสาร THC โดยเฉลี่ยสูงเพิ่มขึ้นเป็น 12.2% และหากเป็นผลผลิตการสกัดกัญชาจะพบสาร THC สูงมากกว่านั้น 50% และในบางครั้งก็มีสาร THC สูงกว่า 80% เสียด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าความเข้มข้นของสาร THC ซึ่งได้มากขึ้นจากวิธีการสกัดกัญชาของวงการยาในแผนปัจจุบัน
ในขณะที่หลายคนมีความไม่แน่ใจในเรื่องการเสพติดอันเนื่องมาจากความเข้มข้นของ THC จากสารสกัดกัญชายุคใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ในขณะที่วงการแพทย์แผนไทยนั้นนอกจากจะไม่สกัดสารสำคัญออกมาแล้ว ยังมีสัดส่วนในตำรับยาโดยใช้ทั้งใบและดอกผสมกับตัวยาอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่าความเข้มข้นของสาร THC ในตำรับยาไทยจะเจือจางกว่ามากเมื่อเทียบกับการสกัดสารสำคัญของกัญชาในยุคปัจจุบัน จริงหรือไม่?
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ถ้าสารสกัดกัญชามีการใช้ในทางการแพทย์ได้ในโลกใบนี้ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะห้ามตำรับยาไทยที่มีกัญชาเข้าในตำรับอยู่ในปริมาณที่เจือจางกว่ามาก
ในวงการแพทย์แผนไทยนั้น นอกจากจะใช้กัญชาอย่างระมัดระวังในตำรับยาแล้ว ยังไม่เคยให้มีการสูบกัญชาในทางการแพทย์เพื่อความมัวเมาเลย แม้แต่ในวงการแพทย์แผนไทยเอง ก็ยังบันทึกเขียนในตำราเวชศึกษา แพทย์ศาสตร์สังเขป ซึ่งเขียนขึ้นโดยพระยาพิศณุประสาทเวช ผู้จัดการโรงเรียนเวชสโมสร เมื่อร้อยกว่าปีก่อนคือ พ.ศ. 2451 ในหัวข้อเรื่อง “แพทยาลังการว่าด้วยคุณธรรมอันเป็นเครื่องประดับหมอ” ข้อ 12 ความว่า
“ข้อ 12 ไม่เป็นคนมีสันดานอันประกอบด้วยความมัวเมา เป็นต้นว่าเสพสุรา สูบกัญชา ยาฝิ่น หรือมัวเมาละเลิงหลงไปในการเล่นเบี้ย เล่นการพนันต่างๆ.อันเป็นทางที่จะทำให้ตาให้ความเดือดร้อนรำคาญ เพราะความประพฤติอันเป็นข้าศึกกับคุณวิชชาของตา เพื่อหลีกเลี่ยงไปพ้นผิดมิให้พัวพัน มีสันดานตั้งมั่นในทางสุจริตดังนี้ จัดเป็นคุณธรรมเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง” [11]
แสดงให้เห็นว่าแพทย์แผนไทยมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าไม่ควรใช้อย่างไรเป็นความเมามัวหรือเป็นยาเสพติด และใช้อย่างไรจึงจะสามารถใช้เป็นยาได้ ดังนั้นการปลดล็อกกฎหมายเพื่อให้สามารถนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ได้แล้ว ก็ควรจะปลดล็อกให้ภูมิปัญญาในแพทย์แผนไทยด้วย จริงหรือไม่?"
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี