โปรเจกท์ใหญ่ของกระทรวงเกษตรฯช่วงนี้ น่าจะเป็นโครงการสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังจะสร้างสมดุลของปริมาณผลผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง แล้วหันมาปลูกพืชทดแทนที่มีศักยภาพและสามารถบริหารจัดการด้านการตลาดได้ โดย นายกฤษฎา บุญราช รมว.กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้นโยบายว่าการสมัครเข้าร่วมโครงการ ให้ขึ้นกับความสมัครใจของเกษตรกรเป็นหลัก เพราะเกษตรกรจะต้องมั่นใจว่าจะได้ผลผลิต และขายได้ โดยใช้ตลาดนำการผลิต และให้เป็นโครงการที่เกิดการบูรณาการทำงานทุกภาคส่วน อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และ ธ.ก.ส. แต่ที่มีบทบาทมากกว่าใครก็คงเป็นกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมส่งเสริมสหกรณ์...วันก่อน ขุนเกษตรา ได้สอบถามข้อมูลความคืบหน้าจากนายสำราญ สาราบรรณ์ ว่าที่อธิบดี ผู้ซึ่งทำงานโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น ได้ข้อมูลมาว่า ปัจจุบัน กรมส่งเสริมการเกษตรได้เดินหน้าเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จะมีมากขึ้น มีพื้นที่เป้าหมาย 2.8 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ศักยภาพที่สามารถปลูกข้าวโพดได้ตามหลัก zoning by agri map และลดความเสี่ยงเนื่องจากมีน้ำเพียงพอ โดยจะเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการไปจนถึง 15 พฤศจิกายน 2561 ขณะนี้ ทีม 5 เสือเกษตร ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง และมีเกษตรกรสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 885,084.75 ไร่ เกษตรกร 1,000,940 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2561 เวลา 08.00 น.) กรมส่งเสริมการเกษตรได้แนะนำให้เกษตรกร ที่เข้าร่วมการปลูกแล้ว ปฏิบัติดูแลตามคำแนะนำทางวิชาการ และหากเกษตรกรไม่มีเงินทุน ธ.ก.ส.ได้สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูกตามเงื่อนไขให้แก่เกษตรกรโดยตรง
ด้าน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ชี้แจงว่าขณะนี้มีสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมโครงการแล้ว 250 แห่ง ซึ่งโครงการนี้จะใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาขับเคลื่อนตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร โดยสหกรณ์การเกษตรจะทำหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิต ตั้งแต่การประสานหน่วยงานเข้ามาอบรมถ่ายทอดความรู้การปลูกข้าวโพดให้กับเกษตรกร การจัดหาเมล็ดพันธุ์คุณภาพและจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรมาบริการเกษตรกร การรวบรวมผลผลิตข้าวโพดเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยรัฐบาล มีมาตรการในการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อจาก ธ.ก.ส.ให้เกษตรกรกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นค่าปัจจัยการผลิตและเตรียมแปลง ไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ และสนับสนุนสินเชื่อให้สหกรณ์และสถาบันเกษตรกรกู้ยืมเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนรวบรวมข้าวโพดจากเกษตรกร ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 พร้อมทั้งสนับสนุนเบี้ยประกันภัย 65 บาทต่อไร่ เมื่อได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ น้ำท่วม หรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย จะได้รับเงินชดเชย ไร่ละ 1,500 บาท นอกจากนี้ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เชิญบริษัทเอกชน 13 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์มาหารือถึงเรื่องคุณภาพและราคาข้าวโพดที่จะรับซื้อจากเกษตรกร รวมถึงกำหนดจุดรับซื้อในพื้นที่ทั้ง 33 จังหวัด โดยจะมีการแบ่งจุดรับซื้อที่แน่นอนว่าบริษัทใดจะเข้าไปรับซื้อในพื้นที่ใด ซึ่งจะต้องมีความชัดเจนภายในวันที่ 25 ตุลาคม นี้
“ขุนเกษตรา” มองว่า การดำเนินโครงการนี้ ภาพรวมเป็นนโยบายที่ดี เป็นการปรับเปลี่ยนการทำนาปรังในพื้นที่ไม่เหมาะสม แต่ต้องทำอย่างรอบคอบ กระทรวงเกษตรฯ ต้องดูแลเกษตรกรตั้งแต่เริ่มต้นไปจนสิ้นสุดโครงการ เพราะไม่อย่างนั้น จะมีปัญหาตามมาได้ โครงการนี้ กลไกสหกรณ์จะมีส่วนสำคัญทำให้การขับเคลื่อนให้ประสบผลสำเร็จบรรลุตามเป้าหมาย โดยสหกรณ์การเกษตรต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานความร่วมมือกับภาคแอกชนตามแนวทางประชารัฐ ในการเจรจากับภาคเอกชนในการทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าตามราคาประกาศของกระทรวงพาณิชย์และอยู่ภายใต้พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรพันธะสัญญาพ.ศ.2560 พร้อมทั้งกำหนดจุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีความมั่นใจได้ว่าการปลูกข้าวโพดหลังนาจะมีตลาดรองรับที่แน่นอนและขายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี