จากเหตุการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะในจ.นครศรีธรรมราช ทำให้ระดับน้ำในคลองท่าดี เอ่อล้นเข้าท่วมเมืองเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบเรื่องน้ำของประเทศได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำออกจากคลองสายหลักจนน้ำในคลองต่ำกว่าตลิ่งทุกสาย พร้อมทั้งสูบน้ำออกจากตัวเมืองจนเข้าสู่สภาวะปกติในขณะนี้
ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า การระบายน้ำออกจากตัวเมืองครั้งนี้ต้องปิดประตูระบายน้ำคลองท่าดี เพราะถ้าเปิดประตูระบายน้ำคลองท่าดี จะทำให้น้ำไหลทะลักเข้าไปในคลองสายใหญ่ฝั่งซ้ายของ
ฝายคลองท่าดี ซึ่งจุดนี้เป็นจุดของคลองส่งน้ำ ไม่ใช่คลองระบายน้ำ คลองมีลักษณะต้นคลองใหญ่ ปลายคลองเล็ก ระบายน้ำออกได้เพียง 1.7 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยเฉพาะตรงช่วงกลางคลองจะมีอาคารอัดน้ำเป็นช่วงๆที่ไม่ได้ช่วยให้ระบายน้ำได้ดี ดังนั้น ถ้าเปิดรับน้ำปริมาณมากเข้าไปจะทำให้น้ำล้นคันคลอง ก่อความเสียหายต่ออาคารชลประทานและพื้นที่โดยรอบ และไม่ช่วยเรื่องการระบายน้ำหลากในภาพรวมแต่อย่างใด
สำหรับสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ จากการเข้าไปแก้ไขพบว่า ส่วนใหญ่เป็นกิ่งไม้ท่อนไม้ กรมได้กำจัดออกไปเพื่อให้น้ำไหลลงสู่ปลายคลองได้สะดวกขึ้น
ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น กรมชลประทานน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 มาดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครศรีธรรมราช
รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ องคมนตรี พล.ท.เทียนชัย จั่นมุกดา รองสมุหราชองครักษ์ นายจริย์ ตุลยานนท์ อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน และดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการ กปร.ในขณะนั้น เข้าเฝ้าฯ ณ อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ในเขตจังหวัดภาคใต้ ดังความตอนหนึ่งว่า...
“เนื่องจากน้ำจำนวนมากจากคลองท่าดีมักจะรวมกับน้ำหลากจากคลองเสาธง ซึ่งมีพื้นที่ลุ่มน้ำอยู่เคียงข้าง เมื่อไหลบ่าลงสู่ทะเลพร้อมๆ กัน จะทำให้เกิดน้ำท่วมตัวจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างรุนแรง ดังเช่นอุทกภัยที่เกิดกับตัวเมืองเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2531 ที่ผ่านมา สมควรพิจารณาขุดลอกลำน้ำที่ผ่านตัวเมืองให้ลึกพร้อมกับขยายลำน้ำเหล่านั้นให้มีความกว้างมากขึ้น รวมทั้งการพิจารณาขุดทางระบายน้ำใหม่เพิ่มอีกตามความเหมาะสม ก็จะช่วยระบายน้ำที่ไหลลงมายังตัวเมืองให้ผ่านลงสู่อ่าวไทยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น...”
อย่างไรก็ตามเนื่องจากพื้นที่เศรษฐกิจของ จ.นครศรีธรรมราช เป็นชุมชนเมืองที่มีราษฎรอาศัยหนาแน่น และมีลักษณะพื้นที่ทอดยาวขวางทิศทางการไหลในแนวทิศเหนือ–ใต้ เมื่อเกิดฝนตกหนักบริเวณเทือกเขานครศรีธรรมราชจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านเข้าตัวเมืองมาก ประกอบกับชุมชนเมืองมีการพัฒนาพื้นที่ ทำให้เกิดการบุกรุกแนวเขตคลองธรรมชาติ ส่งผลให้คลองธรรมชาติมีขนาดเล็กลงและตื้นเขิน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำออกสู่ทะเล ทำให้เขตเทศบาลนครศรีธรรมราชและบริเวณใกล้เคียงเกิดปัญหาอุทกภัยเป็นประจำทุกปี
ทั้งนี้ จากการศึกษาทางอุทกวิทยาพบว่า น้ำที่ท่วมตัวเมืองนครศรีธรรมราชมาจากคลองท่าดี ซึ่งคลองท่าดีจะไหลไปลงคลองต่างๆและออกทะเลที่คลองท่าซัก และคลองปากนคร ซึ่งทั้ง 2 คลองนี้ มีความสามารถระบายน้ำรวมกันได้ 268 ลบ.ม./วินาที ทั้งนี้ น้ำในคลองท่าดีที่รอบปีการเกิดซ้ำ 25 ปี มีปริมาณน้ำ 750 ลบ.ม./วินาที ซึ่งมากกว่าความสามารถของคลองท่าดีที่ระบายน้ำได้เพียง 100 ลบ.ม./วินาที จึงทำให้เกิดอุทกภัยขึ้นทุกปี ดังนั้น จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำโดยขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ เพื่อผันน้ำเลี่ยงตัวเมืองนครศรีธรรมราช ให้สามารถเร่งการระบายน้ำออกทะเลให้ได้ในอัตรา 650 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
การดำเนินงานที่ผ่านมา กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือกันและมีมติเห็นควรใช้ระบบคลองส่งน้ำควบคู่กับการระบายน้ำเพื่อผันน้ำไม่ให้เข้าเมืองขุดขยายคลอง–ขุดลอกคลองเดิม ตามแผนที่เคยศึกษาไว้เดิม และให้ศึกษาทบทวนแนวทางแก้ปัญหาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอย่างเป็นระบบ ซึ่งกรมชลประทานเริ่มดำเนินการทบทวนรายงานการศึกษาและแบบรายละเอียดในปี 2555 เพื่อพิจารณาแนวทางเลือกก่อสร้างคลองในรูปแบบต่างๆให้ระบายน้ำได้ 750 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยการศึกษาวางโครงการแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2559 และการสำรวจ–ออกแบบแล้วเสร็จในปี 2560
ทั้งนี้ โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จะประกอบด้วยงานสำคัญๆคือ การขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ 3 สายระบายน้ำได้ 650-750 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อวินาที ความยาวรวม 18.64 กิโลเมตร การปรับปรุงคลองระบายน้ำเดิม 2 สาย คือ คลองวังวัว ยาว 5.9 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำเป็น 850 ลบ.ม.ต่อวินาที และคลองท่าเรือ-หัวตรุด ยาว 11.9 กิโลเมตร ให้ระบายน้ำได้ 100 ลบ.ม.ต่อวินาที พร้อมก่อสร้างประตูระบายน้ำ 7 แห่ง เมื่อแล้วเสร็จจะบรรเทาอุทกภัยในเขตเมืองนครศรีธรรมราชและลดพื้นที่น้ำท่วมได้ประมาณร้อยละ 90 ครอบคลุม 12 ตำบล มีประชาชนได้รับประโยชน์ 32,253 ครัวเรือน และยังกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งได้ประมาณ 5.5 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 17,400 ไร่
“ขณะนี้กรมชลประทานเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี (ปี 2561-2563) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม2560 วงเงินงบประมาณโครงการ 9,580 ล้านบาท” ดร.ทวีศักดิ์กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการดำเนิน โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชฯ ขณะนี้เริ่มดำเนินการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ทั้ง 3 สาย ตั้งแต่ปลายปี 2560 เป็นต้นมา ส่วนงานต่อก่อสร้างประตูระบายน้ำได้เริ่มดำเนินการที่ ประตูระบายน้ำคลองท่าเรือ-หัวตรุดแล้ว รวมทั้งงานปรับปรุงคลองเดิมก็เริ่มดำเนินการแล้วเช่นกัน ซึ่งกรมชลประทานจะเร่งรัดงานทุกงานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายคือ ภายในปี 2563
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี