นักวิชาการแนะรัฐสร้างเชื่อมั่น ดึงคนเข้าระบบภาษี ลดเหลื่อมล้ำ
25 ธ.ค.61 ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนา “ความรู้และความไม่รู้ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย : มายาคติและทางออก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ถึงการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย โดยตอนหนึ่งเสนอแนะให้หามาตรการขยายฐานการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กว้างขึ้นกว่าเป็นอยู่ เพื่อมิให้คนที่กำลังเสียภาษีอยู่รู้สึกถูกเอาเปรียบที่เห็นคนอื่นที่อาจจะมีรายได้เท่ากันหรือมากกว่าแต่กลับไม่ต้องเสียภาษี แต่เรื่องนี้ยอมรับว่าไม่ง่ายนักในสังคมไทย
“ในแง่หนึ่งต้องทำให้เขารู้สึกว่าภาษีที่เสียไปทำให้เขาได้ประโยชน์อะไรกลับมาบ้าง คือถ้าเขาสามารถเชื่อมโยงได้ว่าการชำระภาษีทำให้เขาได้รับประโยชน์อะไรกลับมาเขาก็อาจจะมีแรงจูงใจในการที่จะเข้าไปอยู่ในระบบ แต่อันนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร กรมสรรพากรอาจต้องทำงานหนักในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ในการทำให้คนรู้สึกมีประโยชน์ในการเสียภาษี ไม่เช่นนั้นคนก็จะรู้สึกว่าเสียภาษีไปเดี๋ยวก็คอร์รัปชั่นอีกแล้ว แล้วก็จับอะไรไม่ได้อีกต่างหาก บางทีรู้กันทั้งประเทศแต่ทำอะไรไม่ได้ สิ่งเหล่านี้มันต้องแก้ในหลายๆ เรื่อง ทำให้คนเขาอยากที่จะเสียภาษี” ผศ.ดร.ดวงมณี กล่าว
ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประเด็นข้อถกเถียงกรณีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งหลายครั้งที่เวลาสื่อมวลชนนำเสนอข่าวมักจะมีความเห็นส่วนหนึ่งบนโลกออนไลน์มักตำหนิคนที่เรียกร้องให้ลดเหลื่อมล้ำเป็นพวกงอมืองอเท้า ไม่รู้จักดิ้นรนปรับตัว มหาเศรษฐีหลายคนเขาก็ดิ้นรนปรับตัวทั้งนั้นไม่มาเสียเวลาเรียกร้องอะไร ว่า เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างกรณีคนถูกยิง ที่ก็สามารถมองได้ 2 มุม มุมหนึ่งอาจมีผู้มองว่าคนคนนั้นทำไมเดินไปให้ถูกยิง แต่อีกมุมหนึ่งก็มีคำถามได้เช่นกันว่าคนคนนั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด มีทางเลือกมากน้อยแค่ไหนที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยิงได้ เช่น มาตรการควบคุมอาวุธปืน ระบบรักษาความปลอดภัยในเมืองมีประสิทธิภาพเพียงใด เปรียบเทียบกับความเหลื่อมล้ำที่การมองคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นเพราะปัญหาส่วนตัวก็ถูกส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งก็ต้องมองด้วยว่าแล้วที่ผ่านมาคนคนนั้นมีทางเลือกในชีวิตมากน้อยแค่ไหน หรือเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ที่เขาไม่มีทางเลือก และเขาอาจจะพยายามปรับตัวแล้วแต่ถูกซ้ำเติมจากผู้ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ความเป็นจริง เรื่องนี้สรุปได้ว่าเวลาคนเราเถียงกันเรื่องของปัจเจกบุคคลมันมองเห็นได้ง่าย ต่างจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่มองเห็นได้ยากกว่า ซึ่งตนเรียกร้องให้ภาควิชาการต้องทำงานร่วมกันให้หนักขึ้นเพื่อทำให้สังคมเห็นภาพปัญหาเชิงโครงสร้างได้ชัดเจน
“เหตุจากโครงสร้าง เหตุจากนโยบาย เหตุจากสิ่งที่เรียกว่าน่าจะเป็นความรู้สาธารณะ น่าจะถกกันให้เป็นวิชาการให้เยอะขึ้น ไปโทษโซเชียลมีเดียไม่ได้ ผมคิดว่าเขาก็ว่ากันด้วยอารมณ์ ขั้นแรกเขาจะสื่อกันอย่างนั้นก่อน” ผอ.ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี