วันก่อนอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษของ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พลเอกวิทวัส รชตะนันท์ ท่านบอกว่าช่วงที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทำงานของรัฐมนตรี หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสักเท่าไร การตรวจสอบการทหน้าที่ของสมาชิกสภานิติบัญญัติ ประเภท ขาด ลา มาสายตรวจสอบแล้วก็ไม่ได้มีใครทำผิดอะไร ทำให้การทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ดูเงียบเหงาไม่หวือหวา
ทำให้ต้องย้อนกลับไปเปิดรัฐธรรมนูญดูว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจหน้าที่อย่างไร
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระบุไว้ในมาตรา 230 ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ 1) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม แก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ
2) แสวงหาข้อเท็จจริง เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมนั้น
อันที่จริงถ้าดูตามรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีหน้าที่สำคัญมาก และภารกิจหนักหนามาก ปัจจุบันมีกฎหมายหลายฉบับ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ซึ่งกฎหมายเหล่านั้นทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และเสียประโยชน์ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเกษตร ก็หลายฉบับ ที่เห็นๆ คือ พ.ร.บ. ส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ฉบับหนึ่งละ
ท้ายของการให้สัมภาษณ์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงปัญหาที่ดินส.ป.ก. นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่สะสมมานาน และเกี่ยวข้องกับเกษตรกรจำนวนมาก ทำงานนี้งานเดียวก็สาหัสแล้ว ถ้าท่านจะศึกษาปัญหาและแก้ไขอย่างเป็นระบบ
ที่แปลกใจ คือผู้ตรวจการแผ่นดิน มานั่งพิจารณาเรื่องการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิด (พาราควอท ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส) ที่เป็นประเด็นความขัดแย้งของคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่คัดค้านการใช้สารเคมี โดยอ้างถึงความปลอดภัย และสุขภาพของประชาชน และมีผลงานวิจัย ที่ยังคลางแคลงใจถึงการได้มาของข้อมูลที่นำมาอ้าง
อีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มที่ยังเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้สารเคมีดังกล่าว โดยยืนยันความปลอดภัยของผู้ที่ใช้ และคลุกคลีอยู่กับสารเคมีเหล่านั้นมานาน รวมทั้งประโยชน์ที่เกษตรกรและภาคการเกษตรโดยรวมจะได้รับ
ผู้ตรวจการแผ่นดินประชุมพิจารณาเรื่องนี้กี่ครั้งไม่มีข้อมูลยืนยัน แต่ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดิน เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม สุดท้ายมีมติให้ยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดนั้น และต้องยุติการจำหน่ายภายใน 1 ปี โดยเชื่อข้อมูลของฝ่ายคัดค้านเพียงฝ่ายเดียว ไม่เห็นถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร และประโยชน์ที่ภาคเกษตรจะได้รับ รวมทั้งไม่เห็นแก่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีหน้าที่พิจารณาเรื่องนี้ตามกฎหมาย และ คณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งมาพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
น่าสังเกตว่า มีการเสนอเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เหมือนมีการวางแผนในการนำเสนอข้อมูลมาเป็นอย่างดี...
อันดับแรก คือ หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แกนนำกลุ่มสนับสนุนให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ออกมายินดีกับมติของผู้ตรวจการแผ่นดิน แถมบอกว่าเป็นวันที่คนไทยมีความสุขที่สุด...
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ แห่ง ไบโอไทย ก็ออกมารับลูก โดยพุ่งเป้าไปที่ กรมวิชาการเกษตร ของ อธิบดี เสริมสุข สลักเพ็ชร์ ว่าถ้าไม่ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมอบหมาย ก็อาจจะถูกฟ้องศาลปกครอง
ต่อมาเมื่อไม่กี่วันมานี้รายการ ห้องข่าวไทย พีบีเอส นำเสนอข่าว บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรของไทย จะยกเลิกการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิด แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าได้อีกหลายปีก็ตาม เหมือนกับจะบอกว่าขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่ยังยอมแพ้....แล้วบริษัทผู้นำเข้าสารเคมีทางการเกษตรอีกมากมาย ทำไมไม่เอาอย่างบ้าง.....
ยังไม่ได้ดูไทยแพน ว่ามีการตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร......... ก็มีอยู่เท่านี้แหละถ้าเกี่ยวข้องกับสารเคมี 3 ชนิดนี้.....ไทยแพน ไบโอไทย หมอธีระวัฒน์. กระทรวงสาธารณสุข คราวนี้มีผู้ตรวจการแผ่นดินเพิ่มมาอีกองค์กรหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะออกมาชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก โดยใช้เวลาศึกษาข้อมูล และปัญหาที่เป็นข้อขัดแย้งเพียงไม่เท่าไร
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี