7 ม.ค. 62 เวลา 10.00 น. กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ พร้อมด้วย นายเศรษฐ เดชสุทา และนางรักชนก เจริญมากสุวรรณ เข้าพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และ รอง ผกก.รายหนึ่งในความผิดฐานร่วมกันทำพยานหลักฐานเท็จ และปลอมแปลงเอกสารราชการ โดยนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
นายษิทรา กล่าวว่า แจ้งดำเนินคดีนายอัจฉริยะ และ รอง ผกก.สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกันทำพยานหลักฐานเท็จ และปลอมแปลงเอกสารราชการ หลังจาก นายเศรษฐ และนางรักชนก แฟนสาว เข้าแจ้งความที่ สภ.บางปะอิน แล้วปรากฎว่ามีการนำเอาทะเบียนราษฎร์ออกมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หลังจากผู้เสียหายได้แจ้งความแล้วเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 แต่มีขบวนการที่ทำให้การคัดทะเบียนราษฎร์นั้นมีการแจ้งความไว้ก่อน เลยมีคนไปลงบันทึกประจำวันย้อนหลัง เป็นวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561 แต่เรามีพยานหลักฐานยืนยันว่าวันที่ 28 พฤศจิกายน ไม่ได้มีการแจ้งความจริง และมีการแจ้งความขอลงบันทึกประจำวันหลังจากวันที่ 11 ธันวาคม ไปแล้ว
นายษิทรา กล่าวต่อว่า ส่วนหลักฐานที่นำมามีบันทึกประจำวัน ซึ่งตนขออธิบายว่ามีอยู่ 4 แบบ คือ บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี บันทึกประจำวันงานธุรการ บันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน และบันทึกประจำวันแจ้งของขาย สำหรับบันทึกประจำวันที่เขาไปแจ้งนั้น เป็นบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน ซึ่งตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว จะลงได้ 1 แผ่น ต่อ 1 ข้อเท่านั้น จะไม่มีข้อต่อมาเด็ดขาด ตำรวจจะทราบดีอยู่แล้ว เนื่องจากไม่เหมือนกับบันทึกประจำวันรับเป็นคดี ซึ่งจะลงต่อๆ มาเป็นข้อๆ ห้ามมีพื้นที่เหลือ อันนี้คือระเบียบ แต่กลับมีการลงบันทึกประจำวัน หลังจากมีคนลงไว้ในข้อ 3
นายษิทรา กล่าวอีกว่า สำหรับในข้อ 3 ของบันทึกประจำวัน มีคนแจ้งความไว้เวลา 13.08 น.แต่ที่มีข้อต่อมานั้น เป็นเวลา 15.00 น.ซึ่งอันนี้ก็เป็นแผ่นที่ 100 หรือแผ่นสุดท้ายของเล่มบันทึกพอดี แต่เมื่อไปขอดูบันทึกประจำวันที่ขึ้นต้นใหม่อีกเล่มหนึ่ง แผ่นที่ 1 กลับเป็นเวลา 13.30 น.ซึ่งเวลานั้นไม่ตรงกัน ย้อนกลับไปอีก ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะการลงบันทึกประจำวันของร้อยเวร จะต้องมีการตรวจสอบข้อสุดท้าย หน้าสุดท้ายของเล่มบันทึกประจำวันเล่มเดิม ว่าเป็นเวลาไหน และการลงบันทึกประจำวัน ก็มีพิรุธหลายจุด ปกติแล้ว การลงบันทึกประจำวัน ถ้าหมดแผ่น จะขึ้นหน้าใหม่ ไม่มีการเขียนเบียดกันเพื่อให้พอในหน้านั้น
นายษิทรา กล่าวว่า การลงบันทึกแจ้งจะอยู่ทางข้างซ้าย ที่เซ็นชื่อทางด้านซ้าย แทบจะไม่มีอยู่เลย ก็ไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ ผู้เสียหายก็จะยื่นหลักฐานมอบให้กับพนักงานสอบสวน บก.ป.ด้วย นอกจากบันทึกประจำวันแล้ว และคงจะให้สอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในวันที่เขาอ้างว่ามีการแจ้งความในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ส่วนนายอัจฉริยะ เกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าวเนื่องจากมีลายเซ็น ที่ไปขอลงบันทึกประจำวัน
นายษิทรา กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ที่ลงบันทึกประจำวันให้คือ รอง ผกก.สภ.ดังกล่าว ซึ่งตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว การลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานนั้น คือร้อยเวรกับผู้มีหน้าที่บันทึก คือสิบเวร ผกก.และ รอง ผกก.สส.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และไม่มีอำนาจในการขอลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน โดยตนพิจารณาดำเนินคดีในข้อหาสมคบกันทำพยานหลักฐานเท็จ ปลอมแปลงเอกสารราชการ เนื่องจากเอกสารที่แท้จริง ไม่มีข้อที่ลงประจำวัน ในเวลา 15.00 น.วันดังกล่าว แต่มีการเพิ่มเติมเอกสารด้วยข้อความเป็นเท็จ เราจึงต้องดำเนินคดี ทำพยานหลักฐานเท็จ เนื่องจากเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการ เราต้องดำเนินคดีข้อหาดังกล่าว
“สิ่งที่ได้ดำเนินการของนายอัจฉริยะ เป็นการนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายที่ขอคัดไปใช้เผยแพร่ต่อ นำไปโพสคุยกันในกลุ่มไลน์ เอาไปเหยียดหยามแฟนสาวของผู้เสียหาย มีการนำไปโพสในเพจต่างๆ ด้วย กรณีดังกล่าวก็สืบเนื่องจากเรื่องเดิม เรื่องได้มีการแจ้งความที่ สภ.บางปะอิน ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คือไม่มีอำนาจไปคัดทะเบียนราษฎร์ แต่กลับไปคัดให้กับคนที่รู้จัก แล้วก็นำมาเผยแพร่ เราถึงต้องแจ้งความ พอเราแจ้งความ เขาก็กลัวว่าจะเป็นความผิดจึงต้องไปทำเอกสารย้อนหลัง” นายษิทรา กล่าว
นายษิทรา กล่าวต่อว่า กรณีที่ต้องมีการคัดทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายนั้น เป็นเพราะนายอัจฉริยะ เข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าของเพจ “Red Skull” หรือโหลกแดง ซึ่งเป็นเพจที่เคยขัดแย้งกันกับเพจของชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม มาก่อน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าผู้เสียหายจะเป็นแอดมินเพจจริงหรือไม่ นายอัจฉริยะ ก็ไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนี้ได้ คือการแจ้งความบันทึกประจำวันย้อนหลังเพื่อประกอบการใช้ขอคัดทะเบียนราษฎร์ผู้เสียหาย เรื่องนี้นายอัจฉริยะ จะต้องออกมาต่อสู้คดีตามกระบวนการ ซึ่งจะให้การรับสารภาพ หรือปฏิเสธก็ต้องสู้กันตามกระบวนการ ตนยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับที่มีคดีความและเคยมีความขุ่นข้องหมองใจกันในทางส่วนตัวก่อนหน้ากับนายอัจฉริยะ แต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นตนหรือทนายความคนไหนทำคดี ผู้ที่กระทำผิดก็ต้องได้รับโทษ
ด้าน นายเศรษฐ กล่าวว่า กรณีที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแอดมินเพจ Red Skull นั้น ขอยืนยันว่าตนเป็นแค่ลูกเพจดังกล่าว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจนี้แต่อย่างใด จึงอยากให้ทางตำรวจ บก.ป.ซึ่งเป็นหน่วยงานกลาง ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวตนด้วย เนื่องจากภายหลังมีการแชร์ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ รูปภาพของตนและครอบครัว ก็ทำให้ได้รับความเดือดร้อน เป็นชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ทำไมถึงมาก่ออาชญากรรมเสียเอง นอกจากนี้ตนยังสงสัยว่าทำไมเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายถึงต้องฟังชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชา จนกล้าที่จะทำผิดกฎหมายเสียเอง จึงอยากทวงถามความยุติธรรมให้กับครอบครัวตน
ด้าน พ.ต.ท.จตุพร กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องไว้ ก่อนจะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี