พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน เช่น กรณีการเกิดพายุปาบึกในภาคใต้ที่เพิ่งผ่านไป หรือแม้แต่ภัยพิบัติอย่างน้ำท่วมและภัยแล้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญและตื่นตัววางแนวทางป้องกันและแก้ไข โดยเฉพาะการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหา
โดยที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมความตกลงปารีส ซึ่งเป็นกลไกภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัจจุบันมีรัฐภาคีเข้าร่วม 184 ประเทศ และจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้คำมั่นต่อนานาชาติว่าประเทศไทยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเฟสแรกให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 7 ภายในปี พ.ศ.2563 และร้อยละ 20-25 ภายในปี 2573
ทั้งนี้ หลังจากนายกฯประกาศเป้าหมายดังกล่าว ประเทศไทยได้ดำเนินงานภายใต้มาตรการต่างๆ โดยเฉพาะภาคพลังงานและการขนส่ง ซึ่งเป็นภาคที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของประเทศ เช่น การประหยัดไฟ ใช้อุปกรณ์ติดฉลากเบอร์ 5 และใช้พลังงานทดแทน ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 45.68 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเท่ากับร้อยละ12 สูงกว่าเป้าหมายที่ประกาศไว้ ทำให้นานาชาติแสดงความชื่นชมเราอย่างมาก หลังจากนี้จะเร่งเดินหน้ามาตรการอื่น เช่น การลงทุนก่อสร้างระบบขนส่งทางรางเพิ่มอีก 2,000 กม. มีทั้งระบบรถไฟทางคู่ 32 เส้นทาง ระบบรถไฟฟ้า ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยมลพิษในอนาคต
“นอกจากนี้ เรายังมีแผนงานสำคัญ นั่นคือ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวหรือป่าไม้ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศภายในปี 2580 จากที่ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าร้อยละ 32 ของพื้นที่ประเทศ หรือประมาณ 102.4 ล้านไร่ โดยจะดำเนินการปกป้องป่าจำนวนนี้เอาไว้ไม่ให้ถูกตัดอีกแม้แต่ต้นเดียว และใช้มาตรการต่างๆ เข้ามาเสริมในการเพิ่มพื้นที่ป่า เช่น ผลักดันการแก้กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ 5 ฉบับ เพื่อสนับสนุนการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า และสนับสนุนการปลูกป่าชุมชน เป็นต้น ดังนั้น จึงมั่นใจว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเฟสที่ 2 คือ ร้อยละ 20-25 ภายในปี 2573 โดยคาดว่าจะทำได้ถึงร้อยละ 28 หรือเกินกว่าเป้าหมายอย่างแน่นอน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าว
ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า นอกจากภาคการพลังงานและการขนส่งแล้ว ยังมีภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และของเสียซึ่งครอบคลุมทั้งของเสียชุมชนและของเสียโรงงานที่เป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ จึงมีมติเห็นชอบแผนที่นำทาง หรือ Roadmap แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี 2564-2573สาขาต่างๆ คาดว่าเมื่อถึงปี 2573 ไทยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 156.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์หรือร้อยละ 28.2 โดยแผนงานสำคัญสาขาต่าง ๆ มีดังนี้
สาขาพลังงาน ประกอบด้วยมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน มาตรการพัฒนาพลังงานทดแทน, สาขาคมนาคมขนส่ง ประกอบด้วย มาตรการหลีกเลี่ยงหรือลดการเดินทาง การเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง (Shift Mode) เช่น การพัฒนาการขนส่งระบบรางเพื่อขนส่งมวลชนและโลจิสติกส์, สาขาการจัดการของเสีย ประกอบด้วยมาตรการการจัดการขยะและน้ำเสียชุมชน และสาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงน้ำเสียงอุตสาหกรรม เช่น การทดแทนหรือปรับเปลี่ยนสารทำความเย็น
“ดังนั้น จึงอยากขอรณรงค์และเชิญชวนประชาชนและภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทุกคนทำได้ทันที เช่น การประหยัดพลังงานภายในบ้านและที่ทำงาน การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน การหยุดเผาขยะในที่โล่ง การงดใช้ถุงพลาสติก และการปลูกป่าหรือต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งไม่เพียงจะเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังลดมลพิษทางอากาศได้อีกด้วย” เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี