บรรดานักเศรษฐศาสตร์มักจะถูกสอนมาให้รู้จักกับ “มือที่มองไม่เห็น” หรือ Invisible Hand ซึ่ง อดัม สมิท นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของวิชาเศรษฐศาสตร์ระบบตลาดเสรี เป็นคนแรกที่นำคำนี้มาใช้ในวงการเศรษฐศาสตร์ โดยปรากฏในหนังสือชื่อ The Wealth of Nation ใน ค.ศ. ๑๗๗๖ จะว่าไปแล้ว มือที่มองไม่เห็นก่อให้เกิดผลดีเช่นกัน เนื่องจากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการซึ่งต่างแสวงหากำไรในการทำธุรกิจส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการถูกลงทำให้ผู้บริโภคทั่วไปได้ประโยชน์ ราคาที่ถูกลงเป็น กลไกราคาที่เกิดขึ้นจากมือที่มองไม่เห็นนั่นเอง
พืชผลทางการเกษตรก็มักจะถูกมือที่มองไม่เห็นควบคุมอยู่เช่นกัน จะเห็นได้จากราคาของพืชผลทางการเกษตรมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับปริมาณของผลผลิตและความต้องการซื้อในแต่ละช่วงเวลา ยกตัวอย่างเช่น ทุเรียนภาคตะวันออก มักจะประสบปัญหาวิกฤติราคาในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม หรือ ปัญหาเงาะราคาตกต่ำในช่วงเวลาเดียวกันของทุกปี ระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตที่ออกมา หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่ผมเห็นมาตลอด คือ การกระจายผลผลิตออกจากแหล่งผลิต ปริมาณมากน้อยเท่าใดก็ว่ากันไปแต่จะช่วยได้ประมาณไหนก็คงทราบกันดี
ด้วยลักษณะราคาผลผลิตทางการเกษตร เป็นราคาที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล มือที่มองเห็นจึงใช้ช่องทางดังกล่าวมาบิดเบือนกลไกตลาด ทั้งการสร้างความต้องการเทียม หรือ แม้แต่การสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อคุณภาพ เช่น การแกล้งตัดทุเรียนอ่อนส่งออกไปสักตู้สองตู้ แล้วมากดราคารับซื้อลงไปได้อีก เรื่องแบบนี้ก็ยังมีปรากฏให้เห็นกัน
นอกจากนี้ ยังมีนักการเมืองหลายฝ่ายหยิบยกเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำมาใช้เป็นนโยบายหาเสียงจากเกษตรกร ซึ่งท่านเหล่านี้ทราบดีว่าเป็นฐานเสียงสำคัญในการส่งท่านเข้าสู่สภาอันทรงเกียรติ ผุดไอเดียอันบรรเจิดหลากหลาย บางครั้งจังหวะดีได้เข้ามาในช่วงที่กลไกของตลาดทำงานเป็นปกติ ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้น ก็สามารถตีกินได้ว่านโยบายประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเข้ามาในช่วงเกิดความผันผวน นโยบายบิดเบือนกลไกตลาด ผลที่เกิดขึ้นคงไม่สวยงามนัก บางทีผมก็คิดว่านโยบายต่างๆ ที่นำเสนอ คงลืมนึกไปว่าการพัฒนาคุณภาพของพืชผลทางการเกษตรต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาหรือ นึกได้เช่นกันแต่การพัฒนาคุณภาพมันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ไม่ได้เห็นผลทันอกทันใจท่าน
ง่ายๆ กับเรื่องที่เห็นกันชินตา คือ การขนพืชผักที่ปลูกรอบๆ กรุงเทพฯ มาจำหน่ายที่ตลาดขายส่งในเมืองกรุง เก็บเกี่ยวเสร็จก็ตัดใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ หรือใส่ตะกร้า ขนใส่รถปิกอัพ วิ่งเข้ามา พอมาถึงตลาดก็ต้องมาคัดแยกส่วนที่เสียหายทิ้งไปอีก บรรจุใส่ถุงเล็กๆ แขวนข้างรถกลายเป็นรถพุ่มพวง เข้าไปขายในชุมชนต่างๆ เรียกได้ว่ากว่าจะถึงมือผู้บริโภค คุณภาพพืชผัก ไม่ว่าจะเป็นความสด สุขอนามัยต่างๆ ก็ลดน้อยลงไปตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น เป็นการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองมาก เป็นไปได้หรือไม่ที่นโยบายของฝ่ายการเมืองจะมุ่งพัฒนาคุณภาพของสินค้าแทนรูปแบบการค้าขายเดิมๆ ถ้านึกอะไรไม่ออกให้นึกถึงโครงการหลวงที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านได้ทรงดำริขึ้น สร้างความมั่นคงในอาชีพให้กับเกษตรกรผู้เป็นสมาชิกโครงการหลวง ด้วยการพัฒนาการผลิต พัฒนาระบบการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว พัฒนาช่องทางการจำหน่ายมารองรับ เมื่อสินค้ามีคุณภาพ กลไกราคาจากมือที่มองไม่เห็นจะส่งผลให้สินค้านั้น ผู้ประกอบการนั้นอยู่ได้ แม้ในภาวะที่มีความผันผวนสูง
มือที่มองไม่เห็นจะสวยงามเสมอหากเป็นมือที่มีคุณธรรมและจริยธรรม อย่าได้แต่มุ่งหวังเอาประโยชน์จากความเดือดร้อนของเกษตรกรมาสร้างความเป็นธรรมในการเข้าสู่อำนาจและมองไม่เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผมยังหวังเห็นสังคมการเกษตรที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นแม้การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี