พูดถึงเรื่องแม่น้ำและต้นน้ำของเมียนมา มีครั้งหนึ่งผมไปทำงานแอปเตอร์ที่รัฐคะฉิ่น ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ โชคดีสุดๆ ที่ได้มีโอกาสในชีวิตที่ได้เห็นต้นน้ำของแม่น้ำอิรวดี ที่กล่าวในตอนที่แล้วว่าแม่น้ำในเมียนมา อินเดีย ตลอดจนบังกลาเทศมีมวลน้ำละลายมาจากหิมะ ทว่าจุดกำเนิดของแม่น้ำอิรวดี กลับไม่ใช่ดินแดนที่มีหิมะตก หากแต่เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาจากทิศเหนืออีกทีหนึ่ง ชื่อว่า แม่น้ำเมขะ กับแม่น้ำมะลิขะ จุดบริเวณต้นแม่น้ำอิรวดีนี้ รองอธิบดีเมียนมาเล่าให้ฟังว่า ประเทศจีนเคยยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลเมียนมา ขอทำเขื่อนขนาดใหญ่ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ เพราะทำเลอยู่ในหุบเขา แต่ประชาชนเมียนมาไหวตัวทัน ไม่ยอมให้มีการสร้าง ผลก็คือ ต้นแม่น้ำอิรวดียังสภาพและระบบนิเวศที่เป็นธรรมชาติอันสวยงาม เหมาะสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองมิตจีนา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ เนื่องจากการเดินทางไม่ไกลนัก และเส้นทางรถยนต์แม้จะผ่านหุบเขาและไม่ดีนัก แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุง
แล้วผมจะกลับมาเล่าต่อสำหรับการทำงานที่รัฐคะฉิ่น แต่ตอนนี้ขอย้อนกลับไปคุยกิจกรรมแอปเตอร์ที่รัฐยะไข่ต่อจากฉบับที่แล้วครับ เมื่อเดินทางโดยเรือเร็วถึงเมืองบูทิดอง มีเจ้าหน้าที่มารับท่านรัฐมนตรี และพาคณะไปกินอาหารกลางวันที่โรงพยาบาลประจำเมือง ทั้งนี้เพราะท่านรัฐมนตรีที่ไปนั้น เป็นกระทรวงที่คุมด้านสาธารณสุขด้วย ลักษณะโรงพยาบาลก็เป็นอาคารเก่า อาณาบริเวณไม่ใหญ่โต และไม่หรูหราทันสมัย ก็ต้องเข้าใจครับว่าประเทศเมียนมาตกอยู่ในการปกครองในระบอบที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2505 เศรษฐกิจเป็นแบบระบบปิด จึงไม่เฟื่องฟูและสามารถที่จะมีงบประมาณมาพัฒนาประเทศได้อย่างประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
ทว่า พวกเขาก็เป็นคนมีน้ำใจไม่ต่างจากคนไทยเรา ต้อนรับขับสู้ให้เกียรติพวกเราอย่างเต็มที่ ท่านรัฐมนตรีหลังจากรับฟังการบรรยายสั้นๆ จากเจ้าหน้าท้องถิ่นแล้ว ก็มีการรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งท่านได้เชิญผมร่วมโต๊ะกับท่าน โดยท่านนั่งหัวโต๊ะและเชิญผมนั่งข้างถัดมา วัฒนธรรมการรับประทานอาหารอย่างหนึ่งของเมียนมา (ซึ่งบ้านเราก็พอมี) คือ ผู้ใหญ่ ซึ่งกรณีนี้ คือ ท่านรัฐมนตรี จะตักกับข้าวใส่จานข้าวเราอยู่เป็นระยะๆ เดี๋ยวกับข้าวจานโน้น จานนี้ จนเราต้องขอบคุณท่านอยู่ตลอด
ครั้นจะตอบแทนท่านด้วยการตักกับข้าวใส่จานข้าวท่านบ้าง สังเกตมาหลายครั้งไม่เห็นมีใครทำกัน แต่ที่แปลกและพบประจำในที่อื่นๆ ด้วย คือ ระหว่างนั่งรับประทานอาหารอยู่นั้น จะต้องมีเจ้าหน้าที่เมียนมาระดับกลางๆ ไม่ใหญ่ไม่เด็กเกินไป
2-3 คน มายืนด้านหลังใกล้ผู้ใหญ่ ถ้าเป็นแบบไทย จะเรียกว่ายืนค้ำหัวก็ได้ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ นอกจากจะต้องคอยตอบคำถามต่างๆ ที่ท่านผู้ใหญ่ถามระหว่างการกินแล้ว ที่สำคัญ คือ ถ้าห้องนั้นไม่ติดแอร์ คนหนึ่งจะมีพัดแบบมือถือ คอยพัดไล่ความร้อนให้กับผู้ใหญ่ ส่วนอีกคนหรือสองคน จะคอยตักกับข้าวใส่จานข้าวให้ท่านผู้ใหญ่จนกระทั่งกินอิ่ม (ผู้ใหญ่เลยมีเวลาตักกับข้าวให้เราหรือคนอื่น) นี่แสดงว่า จะต้องมีการเตรียมการอย่างดี คือ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นคงต้องกินอาหารมาก่อนจนอิ่มแล้ว เพราะมิฉะนั้นคงจะหิวแย่ เนื่องจากการกินแต่ละครั้งของคณะใช้เวลานานพอสมควร ลักษณะการมายืนค้ำหัวนี้ ผมสังเกตเห็นเกือบทุกแห่ง นี่ถ้าบ้านเราเป็นแบบนี้ สำหรับตัวผมเอง คงจะกินข้าวไม่ค่อยลงเป็นแน่
และอีกอย่าง เวลากินข้าว ชาวเมียนมาน่าจะได้ชื่อว่ากินข้าวจริงๆ เพราะในจานข้าวจะตักข้าวเยอะมาก ผมว่าค่าเฉลี่ยบริโภคข้าวต่อหัวคนเมียนมาน่าจะมากกว่าคนไทยเยอะ ส่วนเรื่องกับข้าวเมียนมาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงมีเวลามาเล่าให้ฟังอีกครั้งนะครับ แต่สมัยหนึ่งที่ผมเคยไปนอนที่โรงแรมในกรุงเนปิดอว์ เพื่อเข้าร่วมประชุม ASEAN Food Security Reserve Board (AFSRB) ตอนเข้ามาทำงานแอปเตอร์ใหม่ๆ ได้พบกับผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นฝรั่งมาจากยุโรปแต่ทำงานในเมียนมาในลักษณะ เอ็นจีโอ ซึ่งเคยมาเที่ยวเมืองไทย เขาชื่นชมอาหารไทยเพราะว่ามีรสชาติและความหลากหลาย แต่เมื่อถามว่าเทียบกับอาหารเมียนมาเป็นอย่างไร เขาทำหน้าตาจริงจังตอบว่า ของไทยรสชาติจัดจ้าน ขณะที่ของเมียนมาเขาอธิบายซึ่งก็ตรงกับความรู้สึกของผมเป๊ะเลย คือ มันมีรสชาติที่ไม่ไปทางไหนสักกะทาง จะว่าเค็มก็ไม่เค็ม จะว่าเปรี้ยวก็ไม่มี จะว่าเผ็ดก็ไม่ได้ จะว่าหวานก็ไม่ใช่ หรืออีกทั้งจะว่าจืดก็ไม่เชิง เอ๊ะ ยังไง เอาเป็นว่าใครสงสัยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ อาจต้องลองหาชิมเอาเองครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี