สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 1 ของปี 2562 พบว่า ขยายตัวเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 สาเหตุหลักมาจากอัตราการขยายตัวของสาขาพืชที่ถือเป็นสัดส่วนสูงสุดในภาคเกษตรชะลอลง ส่งผลให้ภาพรวมขยายตัวในระดับต่ำหรือค่อนข้างทรงตัว
นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เมื่อแยกรายละเอียดแต่ละสาขา พบว่า สาขาพืช ขยายตัวเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 โดยข้าวนาปีมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะราคาข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกในนาที่เคยปล่อยว่าง ข้าวนาปรังมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรจัดการดูแลที่เหมาะสม และมีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา มันสำปะหลัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคามันสำปะหลังปีที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นมาก จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกและปลูกทดแทนพืชอื่น ลำไย มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นลำไยที่ปลูกในปี 2559 เริ่มให้ผลผลิตปีนี้ และเกษตรกรปรับเปลี่ยนมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศเหมาะสม เกษตรกรบำรุงดูแลรักษาที่ดี ต้นลำไยจึงออกดอกติดผลมากกว่าปีที่ผ่านมา
แต่ก็ยังมีผลผลิตพืชที่ลดลง โดยเฉพาะอ้อยโรงงาน ซึ่งมีมูลค่าการผลิตสูงสุดในสาขาพืชไตรมาสแรกกลับมีผลผลิตลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ส่งผลให้การแตกกอและเจริญเติบโตของต้นอ้อยไม่สมบูรณ์ ประกอบกับช่วงปลายปี 2561 เปิดหีบอ้อยเร็วขึ้น ทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งตัดอ้อยไปแล้วก่อนหน้านี้ สับปะรดโรงงาน มีผลผลิตลดลง เนื่องจากราคาสับปะรดที่เกษตรกรขายได้ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพ.ค.2560-ก.ค. 2561 ทำให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สำหรับด้านราคาช่วงเดือนม.ค.- ก.พ.2562 สินค้าพืชที่ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากความต้องการใช้เป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ยังมีต่อเนื่อง และมีการกำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในราคาไม่ต่ำกว่ากก.ละ 8 บาท (ความชื้นไม่เกิน 14.5%) ภายใต้โครงการตามนโยบายประชารัฐ และมันสำปะหลังมีราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่มาก ขณะที่ความต้องการของตลาดมีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีสินค้าพืชอีกหลายชนิดที่ราคาเฉลี่ยลดลงจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นและความต้องการของตลาดลดลง ได้แก่ ข้าว อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ยางแผ่นดิบ ปาล์มน้ำมัน
ขณะที่สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 1.0% โดยปริมาณการผลิตไก่เนื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปและอาเซียน ขณะที่การท่องเที่ยวและภาวะเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่เพิ่มขึ้นด้วย สุกรเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสุกรมีชีวิตเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2561 เกษตรกรมีแรงจูงใจผลิต ตลอดจนจัดการฟาร์มและป้องกันโรคระบาดในสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ราคาสุกรเพิ่มขึ้นด้วย
สาขาประมงขยายตัว 1.5% โดยปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือมีทิศทางเพิ่มขึ้น ผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีปริมาณออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากเกษตรกรบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ปล่อยลูกกุ้งอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งพัฒนาระบบการเลี้ยงให้เหมาะสมกับพื้นที่ ส่วนผลผลิตประมงน้ำจืด เช่น ปลานิล ปลาดุกเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรขยายพื้นที่เพาะเลี้ยง เพิ่มรอบการเลี้ยง จัดการบ่อที่ดี ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมการเลี้ยงปลานิลและปลาดุกหลายพื้นที่ เมื่อวิเคราะห์ด้านราคาพบว่ากุ้งขาวแวนนาไม (ขนาด 70 ตัวต่อกก.)ราคาโดยเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งเป็นการลดลงตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ปลานิลขนาดกลาง และปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 2-4 ตัวต่อกก.) มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการบริโภคและใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.6% เป็นผลจากการจ้างบริการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตรในการผลิตข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เกษตรกรบางพื้นที่ เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือหันมาใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร เพื่อลดต้นทุนและประหยัดเวลา ใช้บริการโดรนสำหรับฉีดพ่นและสำรวจสภาพผลผลิตในไร่นามากขึ้น ส่วนสาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.2% เนื่องจากผลผลิตไม้ยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้นจากความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ผลิตกระดาษและแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (wood pellet) และผลผลิตไม้ยางพาราขยายตัวตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่า เพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น ประกอบกับมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ต้องการนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด ด้านผลผลิตรังนกเพิ่มขึ้น โดยจีนต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากรังนกของไทยมีคุณภาพสูง
ทั้งนี้ สศก.คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2562 น่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.5-3.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุน จากการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งสภาพอากาศที่ร้อนจัดส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนสะสมและแหล่งน้ำธรรมชาติบางพื้นที่ไม่พอต่อการผลิตทางการเกษตร ส่งกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรระยะถัดไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี