ระหว่างรอดูว่าใครจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และใครจะได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลอย่างแท้ทรูขอขัดจังหวะด้วยการบอกกล่าวกัน เรื่องของสารเคมี 3 ชนิด ที่เป็นประเด็นต่อเนื่องมานานสักเล็กน้อย
สิ่งที่จะบอกกล่าวต่อไปนี้ เป็นข่าวสารที่ ได้มาจากเว็บไซต์ www.doa.go.th ของ กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเผยแพร่มาระยะหนึ่งแล้วภายใต้หัวข้อ “มาตรการจำกัดการใช้ 3 สาร” ซึ่ง 3 สารที่ว่านี้จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก พาราควอต ไกลโฟเซต และ คลอร์ไพริฟอส
มาตรการดังกล่าวนี้มี 6 มาตรการ ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตราย เห็นชอบแล้ว...ประกอบด้วย การออกกฎหมาย (ประกาศกระทรวงเกษตรฯ) การอบรม การสร้างการรับรู้ การศึกษาผลกระทบ การวิจัยหาสารเคมีชนิดอื่น หรือวิธีการอื่นทดแทน และการสร้างระบบฐานข้อมูล
วันนี้ว่าด้วยมาตรการแรกกันก่อน คือ การออกกฎหมาย ซึ่งจะมีประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 5 ฉบับ ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถึงขณะนี้ ยังไม่เห็นประกาศดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถ้าประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 5 ฉบับ มีผลบังคับใช้เมื่อไร เมื่อนั้นผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย เกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่นสารเคมี ผู้ขาย ผู้นำเข้า หรือผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องปฏิบัติตามมาตรการ ดังนี้
เกษตรกรผู้ที่จะใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้น จะต้องผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบความรู้ ตามหลักสูตรที่กำหนดขึ้นสำหรับเกษตรกรโดยเฉพาะเสียก่อน เพราะเวลาจะไปซื้อสารเคมีเหล่านั้นไปใช้ เกษตรกรจะต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบการใช้สารเคมีที่ถูกต้องก่อน นอกจากนี้ยังจะต้องแจ้งชนิดพืชที่ปลูก และจำนวนพื้นที่ปลูกให้ผู้ขายทราบด้วย เพื่อจะได้คำนวณปริมาณสารเคมีที่จะใช้กับพืชนั้นๆ ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
สำหรับผู้รับจ้างพ่นสารเคมี จะต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการพ่นสารทั้ง 3 ชนิด ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ต้องมีใบอนุญาตรับจ้างพ่นสารเคมี และผู้รับจ้างพ่นสารเคมี ไม่สามารถจะซื้อสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้ ได้หากไม่ได้เป็นเกษตรกรผู้ปลูกพืชที่กำหนดให้ใช้กับสารเคมี 3 ชนิดดังกล่าว
ด้านผู้จำหน่ายสารเคมี จะต้องขออนุญาตมีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายเพื่อขาย โดยต้องระบุชื่อสารเคมี 3 ชนิดนั้น ซึ่งแต่เดิมไม่ต้องระบุชื่อ นอกจากนี้ยังต้องผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตราย ซึ่งจะต้องอบรมทุกๆ 3 ปีด้วย จากเดิมที่ต้องอบรมทุก ๆ 5 ปี
ยิ่งไปกว่านั้นผู้จำหน่ายสารเคมี 3 ชนิดนี้ จะต้องแจ้งปริมาณ สต๊อกสินค้าสารเคมี 3 ชนิดนี้ ทุก 15 วัน ต้องขายสารเคมี 3 ชนิดนี้ ให้เฉพาะเกษตรกรที่แสดงหลักฐานผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบ พร้อมทั้งแสดงหลักฐานชนิดพืชที่ปลูก และจำนวนพื้นที่ปลูกเท่านั้น รวมทั้งต้องต้องจัดทำป้ายแสดงข้อความว่า “วัตถุอันตรายที่จำกัดการใช้” ไว้อย่างชัดเจน และจัดวางสารเคมี 3 ชนิด แยกจากวัตถุอันตรายชนิดอื่นๆ
สำหรับผู้นำเข้า หรือผู้ผลิต จะต้องแจ้งปริมาณสต๊อกสินค้า สารเคมีทั้ง 3 ชนิดทุก 15 วัน โดยต้องระบุปริมาณที่ได้รับ แหล่งที่มา และแหล่งที่ส่งสารเคมีทั้ง 3 ชนิดออกไป
ในส่วนของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะมีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้สารเคมี 3 ชนิดดังกล่าว ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ
นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดชนิดพืชที่อนุญาตให้ใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดได้ ดังนี้ ให้ใช้ พาราควอต และ ไกลโฟเซต เฉพาะเพื่อกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล ให้ใช้คลอร์ไพริฟอส เฉพาะเพื่อกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผลพื้นที่ห้ามใช้สารทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พื้นที่ปลูกผัก สมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ….ต่อนี้ไปถนน หนทาง ที่สาธารณะคงเห็นแต่ป่าหญ้ารกชัฎ
ต้องมีการกำหนดข้อความในฉลากที่จะติดบนภาชนะ หรือบรรจุภัณฑ์สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้น ด้วยข้อความ 3 ข้อความคือ “วัตถุอันตรายจำกัดการใช้” “ห้ามใช้วัตถุอันตรายในพื้นที่ปลูกพืชผัก หรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ” และ “ผู้ใช้วัตถุอันตรายต้องป้องกันไม่ให้วัตถุอันตรายแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น”
แค่มาตรการด้านกฎหมายอย่างเดียวตามที่กล่าวมานี้ ทั้งเกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่น ผู้ขาย ผู้นำเข้าหรือผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะแต่งตั้งมาใหม่ก็คงมึนตึ้บไปแล้ว ..ไม่แบนก็เหมือนแบนละครับ.....
ว่าแต่....ยังไม่เห็นบทลงโทษใดๆ ต่อกรณีที่ปฏิบัติผิดไปจากที่ว่ามานี้เลย
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี