กำหนดกติกาดู“พะยูน” ชุมชน-ทส.-กลุ่มอนุรักษ์ร่วมกันหารือ เคาะกฏเหล็ก“ห้ามติดเครื่องเรือไล่ล่า-ห้ามเข้าใกล้เกิน 5 เมตร เร่งสร้างจุดชมบนเขาบาตูปูเต๊ะ” ชี้เดินถูกทางจำนวนพะยูนเพิ่มขึ้นกว่า 50 ตัวใน 5 ปี
นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ ผู้ประสานงาน มูลนิธิอันดามัน ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 เม.ย.62 ที่ผ่านมา ว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ 64 หมู่ที่ 4 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ได้มีการประชุมเพื่อหารือถึงสถานการณ์พะยูน ภายหลังจากที่มีข่าวว่าถูกคุกคามจากเรือที่พานักท่องเที่ยวไปชมพะยูน โดยมีผู้เข้าร่วมราว 80 คน อาทิ ผู้อำนวยการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง หัวหน้าอุทยานฯหาดเจ้าไหม ผู้แทนองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านลิง มูลนิธิอันดามันและตัวแทนชาวบ้านกลุ่มต่างๆ โดยเริ่มต้นการประชุมทุกคนเห็นว่าทิศทางการอนุรักษ์พะยูนเดินมาถูกทางแล้ว เนื่องจากในปัจจุบันพะยูนมีอัตราการตายลดลง และมีจำนวนพะยูนเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2556 มีอยู่ราว 134 ตัวแต่ปัจจุบันสำรวจพบเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 180 ตัว
นายภาคภูมิ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ความไม่มีระเบียบในการชมพะยูน ก็จำเป็นที่ต้องแก้ไขกันไป โดยที่ประชุมสรุปการแก้ปัญหานี้ไว้ดังนี้ 1.การชมพะยูนควรขึ้นไปบนเขาบาตูปูเต๊ะ แต่เนื่องจากปัจจุบันทางเดินขึ้นและจุดชมพะยูนยังสร้างไม่สมบูรณ์ ดังนั้นทางเขตห้ามล่าและอบต.เกาะลิบง จะทำการออกแบบและทำเส้นทางขึ้นเขาเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมพะยูน ซึ่งการดูจากพื้นที่สูงแทบจะไม่รบกวนพะยูนเลย
2.จะมีการผูกทุ่นหรือทำเสาหลักไว้ที่อ่าวและให้เรือท่องเที่ยวจอดเรือและผูกทุ่นที่หลักเพื่อลอยเรือชมพะยูน โดยไม่ให้ติดเครื่องยนต์เรือเพื่อติดตามพะยูน
3.การท่องเที่ยวพะยูนทั่วไป เขตห้ามล่าฯกำลังทำระเบียบ-ประกาศ ที่ใช้ในการท่องเที่ยวชมพะยูน โดยเรือนำเที่ยวต้องมาขึ้นทะเบียนและมีสัญลักษณ์ระบุไว้ชัดเจนว่าเรือลำดังกล่าวได้ผ่านการอนุญาตแล้ว และต้องมีระเบียบเรื่องระยะห่างจากพะยูนอย่างน้อย 5 เมตร นอกจากนี้ห้ามดำน้ำตามพะยูนหรือเอากล้องดำน้ำติดตาม และต้องมีการอบรมทำความเข้าใจกับเรือท่องเที่ยวพะยูน
ผู้ประสานงานมูลนิธิอันดามัน กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือถึงมาตรการเพิ่มเติม โดยจะมีการกำหนดกฏเกณฑ์ในเขตอนุรักษ์เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลการสำรวจพบว่ามีพะยูนชุกชุมในบางพื้นที่โดยมีประชากรพะยูนหนาแน่น ดังนั้นจะมีการกำหนดเขตวางทุ่น ห้ามกิจกรรมประมง เช่น ห้ามเครื่องมือกว่า 10 ชนิดที่เป็นอันตราย โดยต้องทำเป็นประกาศของเขตห้ามล่าฯ นอกจากนี้ที่บริเวณทะเลด้านหน้าสำนักงานเขตห้ามล่าฯจะกำหนดพื้นที่หญ้าทะเล 20 ไร่ให้เป็นเขตอนุรักษ์ปลิงทะเล เพราะในปัจจุบันจำนวนปลิงได้ลดลงอย่างมากเพราะมีการจับกันมาก จึงต้องทำเขตอนุรักษ์ทดลองว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งหอยชักตีนได้หายไปจากเกาะมุก จนกระทั่งมีการกำหนดเขตห้ามจับในพื้นที่ 20 ไร่จึงทำให้จำนวนหอยชักตีนเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเต่าทะเลซึ่งถูกคุกคามเช่นเดียวกับพะยูน นายภาคภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวมีจำนวนเต่าตนุเพิ่มขึ้นกว่า 100 ตัว ซึ่งการอนุรักษ์เต่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับการอนุรักษ์พะยูน เพราะทั้งสองชนิดอาศัยอยู่ในแหล่งเดียวกันและกินหญ้าทะเลเหมือนกัน และเครื่องมือประมงที่เป็นอันตรายกับพะยูนก็เป็นชนิดเดียวกันกับเต่า
เมื่อถามถึงระยะเวลาในการจัดทำกฏระเบียบ นายภาคภูมิกล่าวว่า ในที่ประชุมตกลงกันว่าภายใน 30 วันจะมีการจัดทำเรื่องเขตอนุรักษ์ให้แล้วเสร็จ ส่วนการขึ้นทะเบียนเรือนั้น อาจต้องทยอยดำเนินการเพราะใกล้พ้นฤดูการท่องเที่ยวแล้ว
“ตอนนี้เราได้ทำเป็นข้อตกลง ตักเตือน ขอความร่วมมือกันไว้ก่อน ซึ่งในอดีตก็เคยมีการทำข้อตกลงในลักษณะนี้และร้อยละ 80-90 ต่างปฎิบัติตาม แต่ถ้ามีคนฝ่าฝืนก็อาจต้องใช้มาตรการทางกฎหมายของเขตห้ามล่าฯ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เรื่องมาตรการคุ้มครองทางทะเลจังหวัดตรัง เพราะในปัจจุบันแม้ท้องทะเลตรังจะมีการประกาศเขตพื้นที่ห้ามล่าและเขตอุทยานฯแต่เป็นเพียง 1 ใน 5 ของท้องทะเลตรัง ทำให้เกิดช่องว่างใหญ่ หากมีการประกาศกระทรวงฉบับนี้ก็จะครอบคลุมได้หมด จึงต้องจี้ถามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯว่าถึงไหนแล้วเพราะต้องเอาเข้าคณะรัฐมนตรี”นายภาคภูมิ กล่าว
# ขอบคุณภาพและข้อมูลการสำรวจพะยูนจากสถาบันวิจัยทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งและป่าชายเลน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี