เรื่องราวของสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอท ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ที่ขับเคี่ยวกันแบบเอาเป็นเอาตายระหว่างผู้สนับสนุน กับ
ผู้คัดค้านการใช้ จนในที่สุดนำมาซึ่งมาตรการ “จำกัดการใช้” ที่กรมวิชาการเกษตรได้เสนอแนวทางการดำเนินงานให้กระทรวงเกษตรฯ เห็นชอบ และกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้เห็นชอบตามเสนอ อันเป็นปกติของลำดับชั้นของการเสนอเรื่องราวของทางราชการให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติ
แนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายและสร้างความโกลาหลให้ใครต่อใคร ก็คือมาตรการตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2562 และจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน นับถัดจากวันประกาศ นับแล้วก็จะประมาณ 20 ตุลาคม 2562
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากประกาศ 5 ฉบับนี้คือ เกษตรกรผู้ที่ต้องการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ผู้รับจ้างฉีดพ่นสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ผู้ขาย ผู้นำเข้า หรือผู้ผลิตสารทั้ง 3 ชนิดนั้น รวมทั้งผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
กระทบอย่างไร.... เกษตรกรผู้ต้องการใช้สาร และผู้รับจ้างฉีดพ่น จะต้องผ่านการอบรม หรือผ่านการทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้นอย่างถูกต้องและปลอดภัย ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อสารเคมีเหล่านั้นมาใช้ได้ หรือ รับจ้างฉีดพ่นได้
งานหนักสำหรับมาตรการนี้คือ การอบรม และการทดสอบเกษตรกร และผู้รับจ้างฉีดพ่น ซึ่งมีการประมาณการกันว่าจะมีเกษตรกรที่ต้องทำการอบรมประมาณ 1.5 ล้านคน และ ผู้รับจ้างฉีดพ่นประมาณ 5 หมื่นคน ที่หนักหนาก็คือต้องอบรมคนจำนวนเท่านี้ให้เสร็จภายในเดือนกันยายน 2562 ก่อนที่ประกาศกระทรวงเกษตรฯ จะมีผลบังคับใช้
เกษตรกร 1.5 ล้านคน คือเกษตรกรที่ปลูกพืช ซึ่งอนุญาตให้ใช้สารเคมีดังกล่าวได้ ซึ่งมีเพียง 6 ชนิด คือ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และไม้ผล
มีการแบ่งผู้รับผิดชอบการฝึกอบรมเป็นกลุ่มๆ ดังนี้ กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้กำหนดหลักสูตรและอบรมเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรเอง พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้รับจ้างฉีดพ่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมแล้วไปอบรมเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย สมาคมต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านี้ที่ผ่านการอบรมแล้ว ไปอบรมเกษตรกร
เกษตรกรที่ปลูกอ้อย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลจะเป็นผู้ดำเนินการจัดฝึกอบรม เกษตรกรผู้ปลูกยาง กยท.จะเป็นผู้จัดการฝึกอบรม นอกจากนี้ยังได้ขอความร่วมมือสมาคมและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพืชทั้ง 6 ชนิด และเกี่ยวข้องกับสารเคมี ให้ความร่วมมือในการจัดฝึกอบรมด้วย
เวลาคิดก็ดูง่าย แต่เวลาลงมือทำไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะความร่วมมือจากเกษตรกรในการอบรม และทำแบบทดสอบซึ่งทราบว่าใช้ระบบออนไลน์ในการทำแบบทดสอบกับกรมวิชาการเกษตร และได้เห็นแบบทดสอบแล้ว สำหรับเกษตรกรทั่วๆ ไปนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าทดสอบไม่ผ่านต้องทำอย่างไรต่อ ให้สอบใหม่ หรือต้องกลับไปอบรมใหม่ ด้วยวัย ด้วยภาระหน้าที่ และปัจจัยต่างๆ เกษตรกรจะให้ความร่วมมือสักเท่าไร
จะมีการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ที่แต่งตั้งบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถ้ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ได้มีอาชีพการเกษตร ความเข้าใจ และการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จะมีมากน้อยเพียงไร และยิ่งจะทำการอบรมให้เขารู้เรื่องสารเคมี 3 ชนิดนี้ รวมทั้งกฎหมาย และมาตรการต่างๆ ผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอเรนซ์ ท่านนึกภาพออกไหมว่าจะมีคนตั้งอกตั้งใจฟังสักกี่คน
เผลอๆ ถ้าเจอผู้ใหญ่บ้าน และ กำนันที่มีอิทธิพลหน่อย ใช้อำนาจหน้าที่ที่หยิบยื่นให้นี้แสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งไปกันใหญ่...ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มี....
นอกจากนี้ยังมีกรณีของพื้นที่สาธารณะ เช่น 2 ข้างทางรถไฟ หรือ ถนนหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท..ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะถ้าจะใช้สารกำจัดวัชพืช 2 ข้างทาง ซึ่งถือเป็นที่สาธารณะ ก็จะต้องไปขออนุญาตซื้อสารกำจัดวัชพืชจากกรมวิชาการเกษตรด้วย
ที่กล่าวมาทั้งหมดดูเป็นอะไรที่ยุ่งยากเดือดร้อนกันไปทั่ว เพราะเป็นมาตรการที่ใช้กฎหมาย และสร้างเงื่อนไขจากทางราชการ สิ่งที่เกษตรกรหรือประชาชนเสนอในการทำประชาพิจารณ์ต่อมาตรการดังกล่าว ไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณาแต่อย่างใด
ฝากถึงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้ง และต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กันอยู่นี้...ช่วยเหลียวแลด้วย....
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี