"อดีตสปช.-นักวิชาการ"ย้ำสร้าง"เขื่อนคลองสังข์"ไม่คุ้มค่า ชี้ยุคสมัยเปลี่ยน-คนเลิกทำนาแล้ว
19 มิ.ย.62 นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Hannarong Yaowalers" กล่าวถึงโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองสังข์ จ.นครศรีธรรมราช ว่าเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการที่ชาวบ้านต้องถูกบังคับให้เสียสละที่ดินทำกิน และไม่สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป ดังนี้
"สร้างเขื่อนแล้วต้องย้ายชาวบ้าน..ทุกข์แสนสาหัส ผลจากโครงการคลองสังข์ อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นโครงการที่ไม่ได้ศึกษาอีไอเอ เพราะน้ำท่วมแค่ 6,500 ไร่ ได้น้ำแค่ 70 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ชลประทานแค่ 11,000 ไร่ ไม่เข้าเกณฑ์ต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ค่าชดเชย ที่ส.ป.ก.ไร่ละ 32,000 ต่อไร่ แต่ไปซื้อข้างนอก ไร่ละ 3-4 แสนหาซื้อแทบไม่ได้
คนที่ถูกเวนคืนหมด เงินที่ได้ ไม่พอจะหาที่ใหม่ จนฉับพลัน จากการสร้างเขื่อนที่มีคนขอน้ำทำนาเมื่อ 30 ปีมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีนาแล้ว คนกรีดยาง ไม่มีที่ดินเลย ทุกข์หนักไปอีก ผู้ได้รับผลกระรวมกันมากกว่า 500 ครอบครัว แต่ผลประโยชน์โครงการนิดเดียวเมื่อเทียบกับคนที่เดือดร้อนจากโครงการนี้..เรื่องเศร้าของคนทุกข์ยาก ที่อ้างว่าพัฒนา"
ก่อนหน้านี้เมื่อ 17 มิ.ย.62 นายไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "Chainarong Setthachua" ระบุว่า ชาวบ้านที่ใช้ที่ดิน สปก. ทำกินในบริเวณที่จะก่อสร้างเขื่อนนั้นเป็นกลุ่มที่ถูกรัฐพาอพยพหนีมาตั้งรกรากใหม่ แต่มาบัดนี้หน่วยงานรัฐกำลังทำโครงการเขื่อนโดยไม่จำเป็นแล้วในปัจจุบัน อีกทั้งยังอ้างสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่เคารพของคนไทยเพื่อหวังไม่ให้ถูกคัดค้าน ดังนี้
"ชะตากรรมของพี่น้องกะทูน-พิปูน..2531 เกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มที่กะทูน เขาพระ คีรีวง เพราะรัฐให้สัมปทานป่าไม้แก่นายทุน มีผู้เสียชีวิต 700 คน หลังเกิดเหตุ กรมชลฯ เอาที่ดินที่ถูกดินโคลนถล่มไปสร้างเขื่อนกะทูนและเขื่อนคลองดินแดง โดยที่อ่างเก็บน้ำได้ท่วมทั้งบ้านเรือน วัด และเมรุเผาศพ เมื่อน้ำลดก็จะเห็นภาพซากของชุมชนที่เคยจมใต้น้ำ ดังในภาพคือเขื่อนกะทูน การสร้างเขื่อนได้มีการเวนคืนที่และจ่ายค่าชดเชย ชาวบ้านระบุว่ามีการโกงชาวบ้านกันมโหฬาร บางคนได้ค่าชดเชยแค่ 3,000 บาท
12 สิงหาคม 2532 รัฐได้อพยพคนที่รอดชีวิตและถูกเวนคืนที่ดินมาไว้ที่คลองสังข์ 210 ครอบครัว และให้สิทธิทำกิน สปก. 30 ปีหลังเหตุการณ์ดินโคลนถล่มที่กะทูนและพิปูน สวนของชาวบ้านเริ่มออกผล ทุเรียนออกลูก ทุกคนลืมตาอ้าปาก ชะตากรรมใหม่ก็เริ่มอีกครั้ง ชาวบ้านถูกลวงให้คืนสิทธิ สปก. บอกว่าจะได้ทั้งเงินและได้ที่ดิน ชาวบ้านบางส่วนรับเงินค่าชดเชย แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะได้ที่ดิน
มิถุนายน 2561 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราชมีจดหมายมาถึงชาวบ้านในเชิงข่มขู่ให้คืนสิทธิ สปก. มิฉะนั้นจะเพิกถอนสิทธิ ต้องกล่าวด้วยว่าเขื่อนคลองสังข์ กรมชลฯ ระบุว่าเป็นโครงการพระราชดำริ แต่โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2523 แปลว่ารัฐรู้อยู่แล้วว่าที่นี่จะมีเขื่อน แต่ทำไมยังอพยพพี่น้องจากกะทูนและเขาพระมาไว้ที่นี่ในปี 2532
ในปี 2523 ขณะนั้นพื้นที่ท้ายเขื่อนยังทำนา แต่ในปัจจุบัน พื่นที่ท้ายเขื่อนคือสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน ขณะที่โครงการระบุวัตถุประสงค์ว่าเพื่อการชลประทานสำหรับปลูกข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน คำถามก็คือ ไม่มีการทำนา ทำไมยังอ้างการปลูกข้าว และมีด้วยหรือในโลกนี้ที่การปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันต้องมีระบบชลประทาน
โครงการนี้มูลค่าการก่อสร้าง 880 ประโยชน์ของโครงการไม่มีจริง ขณะที่ต้องอพยพชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่คือผู้ที่ประสบภัยพิบัติที่กะทูนและเขาพระ อ.พิปูน และเคยถูกนำที่ดินไปสร้างเขื่อนกะทูนและพิปูน สังคมไทยต้องไม่ปล่อยให้พี่น้องคลองสังข์ถูกกระทำซ้ำอีก และที่สำคัญ ต้องหยุดการกระทำของหน่วยงานราชการที่อิงแอบกับสถาบันมาสร้างความชอบธรรม ทั้งที่โครงการไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่ควรจะสร้าง"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี