เมื่อวานนี้ “แนวหน้า” นำเสนอรายงาน “การประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา” จัดทำโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ว่าด้วยการประเมินผลงานรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และสิ่งใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งขณะนี้กลายเป็นนายกฯ ในรัฐบาลจากการเลือกตั้งควรปรับปรุงหรือสานต่อไปแล้ว 4 ด้าน และวันนี้จะเป็นด้านที่เหลือทั้งหมด ดังนี้
5.ด้านการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจและการกำกับดูแล รัฐบาล คสช.มีผลงาน เช่น การแยกการกำกับดูแลออกจากการประกอบกิจการในสาขาขนส่ง ทั้งการจัดตั้งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการขนส่งทางอากาศซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการแก้ปัญหาธงแดง ICAO รวมถึงการโอนอำนาจในการออกใบอนุญาตเดินรถเมล์ในกรุงเทพฯและปริมณฑลจาก ขสมก. มายังกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นก้าวแรกในการสร้างการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
แต่สิ่งที่ต้องทำต่อหรือปรับปรุง เช่น การก่อตั้งกรมการขนส่งทางรางเพื่อดูแลการขนส่งระบบทางทั้งหมด ที่ดำเนินการไปแล้วแต่ยังไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องรองรับ การกำหนดให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะในระดับเดียวกันกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ให้มีความโปร่งใส และได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นต้น
6.ด้านการคมนาคม รัฐบาล คสช. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก เช่น รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 เส้นทาง ปรับปรุงระบบรถไฟเชื่อมข้ามจังหวัดจากทางเดี่ยวเป็นทางคู่ นอกจากนี้ยังมีการจำกัดอายุรถตู้โดยสารไว้ที่ 10 ปี และกำหนดให้ติดตั้งระบบ GPS ควบคุมความเร็วเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุง เช่น รถไฟความเร็วสูงที่มีหลายระบบ จะทำอย่างไรให้ใช้งานร่วมกันได้เพื่อลดต้นทุนการซ่อมบำรุง
การให้เอกชนลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าในเมืองแม้จะลดภาระของรัฐแต่ผลกระทบคือค่าโดยสารสูงมากไม่จูงใจให้คนใช้บริการ ซึ่งต้องดูเรื่องสัญญาสัมปทานเพื่อแก้ไขปัญหานี้ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้แอพพลิเคชั่นเรียกรถโดยสาร (เช่น Grab หรือ Uber) ยังไม่ถูกกฎหมาย ประเด็นนี้ควรเปิดเสรี แต่ก็ต้องมีการปรับอัตราค่าโดยสารขั้นต่ำของรถแท็กซี่ด้วย
7.ด้านการแก้ปัญหาทุจริตมีการเร่งรัดการออกใบอนุญาตโรงงาน(รง. 4) ซึ่งค้างมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้า การออก พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ที่แม้จะมีปัญหาจากกรณีหน่วยราชการจำนวนมากประกาศขยายเวลาที่ใช้ในการพิจารณาอนุญาต เนื่องจากเกรงว่าจะไม่สามารถทำได้ตามกำหนด แต่ก็นำไปสู่โครงการใหญ่ 2 เรื่องคือ การปรับปรุงการออกใบอนุญาตของหน่วยราชการ ซึ่งถูกใช้ในการจัดทำดัชนีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก (World Bank)
กับการสังคายนากฎหมาย (Regulatory Guillotine) ซึ่งเสนอให้ยกเลิกการขออนุญาตจากทางราชการที่ไม่จำเป็นได้จำนวน 480 เรื่อง จาก 1,000 เรื่องที่ทบทวน โดยหากทำได้สำเร็จ คาดว่าจะช่วยให้ประเทศไทยลดต้นทุนของภาคเอกชนลงได้ 2.1 หมื่นล้านบาทต่อปี การออก พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งด้านหนึ่งทำให้ความคล่องตัวของหน่วยงานรัฐต่างๆ ลดลงไปมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ช่วยเพิ่มความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลดการทุจริตได้
โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ซึ่งผลักดันโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยถูกบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างฯ และถูกนำไปใช้กับโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ประมูลและทำสัญญาแล้ว 47 โครงการ มูลค่า 2.16 แสนล้านบาท โดยประมูลได้ในราคาที่ต่ำกว่างบประมาณถึง 7 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 33 และโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ถูกนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างภาครัฐ108 โครงการ รวมมูลค่าสัญญา5 หมื่นล้านบาท โดยมีราคาประมูลได้ต่ำกว่างบประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 22
ถึงกระนั้นรัฐบาล คสช. ก็ยังมีปัญหาไม่ต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ก่อนหน้ากล่าวคือ “เมื่อคนใกล้ตัวมีข้อครหาเสียเอง” เช่น การที่ญาติของผู้นำรัฐบาลเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐหลายแห่ง หรือกรณีนาฬิกายืมเพื่อน เมื่อถูกตั้งคำถามจากสังคมก็แสดงท่าทีปิดกั้นการเปิดเผยข้อมูล นอกจากนี้ยังถูกตั้งคำถามเรื่องการร่วมทุนกับเอกชน ที่สัญญาสัมปทานเน้นข้อเสนอเชิงเทคนิคมาก เปิดช่องให้ใช้ดุลพินิจสูงกลุ่มทุนรายเดิมจึงยังค่อนข้างได้เปรียบ
8.ด้านสวัสดิการสังคมและการลดความเหลื่อมล้ำ ที่เห็นชัดที่สุดคือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นการช่วยเหลือแบบเจาะจง มีผู้ลงทะเบียนราว 14 ล้านคน แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือคนที่ไม่จนได้บัตร ส่วนคนจนจริงกลับตกสำรวจ เช่นเดียวกับการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดแบบเน้นที่กลุ่มครอบครัวยากจนก็มีปัญหาคนตกสำรวจ ทั้งนี้กรณีลงทุนในเด็กแรกเกิดและปฐมวัยนั้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงจึงควรใช้ระบบสวัสดิการถ้วนหน้า
ขณะที่กฎหมายภาษีที่ดินและภาษีมรดกแม้จะออกมาในรัฐบาล คสช. แต่มีส่วนลดหย่อนมากจนแทบไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริง หรือท่าทีของรัฐบาล คสช. ที่มีลักษณะเน้นไปในทางรวมศูนย์อำนาจมากกว่าจะส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการดูแลประชาชนได้มากขึ้น และที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือการรับมือความ
เปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (DisruptiveTechnology) เพราะแรงงานไทยถึงร้อยละ 40 มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีการศึกษาไม่เกินมัธยมต้น คนเหล่านี้เป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ เป็นเรื่องที่รัฐบาลที่รับไม้ต่อจากรัฐบาล คสช. ต้องให้ความสำคัญ
9.ด้านแรงงาน รัฐบาล คสช. สามารถจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวได้สำเร็จ โดยเฉพาะแรงงาน 3 สัญชาติ(เมียนมา ลาว กัมพูชา) ถูกนำเข้าสู่ระบบได้เกือบทั้งหมด รวมถึงการแก้ไขปัญหาแรงงานประมงที่ถูกนานาชาติวิพากษ์วิจารณ์ว่าเข้าข่ายการใช้แรงงานบังคับ (แรงงานทาส) และการค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือออกแบบกลไกคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ซึ่งมีจำนวนถึง 21.4 ล้านคน ทั้งในด้านอัตราค่าจ้าง สวัสดิการและชั่วโมงทำงาน
10.ด้านการรักษาพยาบาล รัฐบาล คสช. มีการปรับระบบการแพทย์ฉุกเฉินวิกฤติ (UCEP) การปรับการบริหารในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อแก้ไขปัญหาในรายละเอียด รวมทั้งขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมยาราคาแพงบางตัว แต่ในภาพรวม รัฐบาลคสช. ยังมีปัญหาด้านนโยบายการรักษาพยาบาลอยู่มากพอสมควร ซึ่งมีผลมาจากหลายปัจจัย
อาทิ การที่สังคมไทยยังไม่มีฉันทามติในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นำไปสู่แนวคิดที่เรียกร้องว่าใครที่มีกำลังจ่ายได้ก็ควรร่วมจ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจึงอยู่ในระดับต่ำในขณะที่มีผู้มารับบริการมากขึ้นทำให้การพัฒนาคุณภาพทำได้จำกัด หรือการที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสถานพยาบาลของเอกชน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยจากประเทศที่มีรายได้สูง(Medical Tourist) เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นจำนวนมากในสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยยังมีผลดึงราคาค่ารักษาพยาบาลของประเทศในภาพรวมให้สูงขึ้นด้วย
สำหรับข้อเสนอที่รัฐบาลใหม่ควรทำ เช่น ส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านระบบสาธารณสุข เนื่องจากการขาดฉันทามติในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และระบบสาธารณสุขในปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกันมาก การแก้ไขปัญหาต่างๆ จึงต้องมีพื้นฐานความรู้เชิงระบบ ข้อมูลทางวิชาการและประสบการณ์จริงจากการปฏิบัติ จึงจะสามารถนำไปสู่การสร้างฉันทามติได้ และทำให้การปฏิรูปไม่สร้างให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาแทน
รวมถึงศึกษาผลกระทบของ Medical Tourism อย่างรอบด้าน เพราะแม้จะสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ก็มีผลกระทบต่อส่วนอื่น เช่น ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านสุขภาพ และค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในภาพรวม และสุดท้ายหากต้องมีระบบร่วมจ่ายจริงๆ การมีราคามาตรฐานก็จะมีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข
และ 11.ด้านการจัดระบบทรัพยากรธรรมชาติและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม รัฐบาล คสช. ประสบความสำเร็จในการออก พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 จากเดิมที่เคยล้มเหลวมาหลายครั้งในอดีต สามารถแก้ไขความขัดแย้งในการจัดการน้ำระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ โดยการจัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทำหน้าที่ในการจัดทำฐานข้อมูล และให้อำนาจการบริหารจัดการน้ำในภาวะฉุกเฉินอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี และสามารถบูรณาการนโยบายและมาตรการของหน่วยงานที่จัดการน้ำกว่า 40 หน่วยงาน
การมอบสิทธิทำกินในพื้นที่ป่าซึ่งเป็นการแก้ปัญหาประชาชนที่เข้าอาศัยในพื้นที่ป่ามาเป็นระยะเวลานานโดยที่ดินดังกล่าวยังคงเป็นของรัฐไม่สามารถเปลี่ยนมือหรือขายได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังยุติการแจกเอกสารสิทธิให้เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินเป็นรายบุคคล แต่ดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินให้ผู้ยากไร้แบบแปลงรวมแทน รวมถึงการแก้ไขกฎหมายไม้หวงห้าม มาตรา 7 ใน พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และไม้ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 106/2557 อีก 15 ชนิด รวม 17 ชนิด ไม่เป็นไม้หวงห้ามต่อไปหากปลูกในพื้นที่ที่มีกรรมสิทธิ์ถูกต้อง
สิ่งที่รัฐบาลควรปรับปรุงหรือสานต่อ เช่น พัฒนาภาษีการพัฒนาพื้นที่ (Land Betterment Tax) แทนการเก็บภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะจากการซื้อขายที่ดิน เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม บนพื้นฐานของการประเมินมูลค่าที่ดินและการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำที่เหมาะสมของสิ่งปลูกสร้าง ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ
ปรับภาษีประจำปีของรถยนต์ให้สะท้อนการปล่อยมลพิษ และปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้สะท้อนปริมาณมลพิษของน้ำมันแต่ละประเภท ตลอดจนยกระดับมาตรฐานน้ำมันจาก Euro 4 เป็น Euro 5 เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จากภาคขนส่ง และศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันจากภาคเกษตร นำระบบค่าธรรมเนียมการใช้ถุงพลาสติกมาใช้ รวมถึงค่าเก็บขยะที่คิดตามปริมาณขยะ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชน และการส่งเสริมให้นำเศษวัสดุทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นพลังงานชีวมวล เป็นต้น
หมายเหตุ : สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://tdri.or.th/2019/07/report-5years-prayut-cabinet/
(อ่านตอนที่ 1) รัฐบาลใหม่หลัง‘คสช.’ อะไรที่‘บิ๊กตู่’ควรสานต่อ (1)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี