ชาวนาอีสานยิ้มออก
ฝนตกบรรเทาแล้ง
นาข้าวพ้นวิกฤติ
เติมน้ำ2เขื่อนใหญ่
รมว.เกษตรฯ แจงฝนเริ่มตกต่อเนื่อง ช่วยบรรเทาภัยแล้ง เติมน้ำเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ได้ 40 ล้าน ลบ.ม. แต่ยังเดินหน้าทำฝนเทียมต่อ บริหารให้พอใช้ดูแลพื้นที่เกษตร 10 ล้านไร่กรมชลฯปรับแผนระบายน้ำ 4 เขื่อนใหญ่ ใหม่ เก็บไว้ใช้ตลอดแล้งนี้ถึงหน้าฝนปี 63 ตามข้อเสนอสทนช.ต้องประหยัดน้ำไห้ได้ 300 ล้าน ลบ. ม. ชาวนาอีสานหลายจังหวัดยิ้มออก ฝนตกต่อเนื่องเพิ่มน้ำในนาชุบชีวิตต้นข้าวพ้นวิกฤติ
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งว่าช่วง2 3เดือนที่ผ่านมา ฝนทิ้งช่วงแต่ก็โชคดีที่มีมรสุมพัดผ่านเข้ามาทำให้ฝนตกในภาคเหนือตอนบนและอีสานตอนกลาง มีน้ำเติมเข้ามาในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ประมาณ 40ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)
เกษตรฯแจงแก้แล้งเร่งเพิ่มน้ำเขื่อน
ขณะเดียวกันการแก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้น มีทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาวก็ต้องเร่งจัดการบริหารน้ำให้มีประสิทธิภาพ ปริมาณเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรโดยเฉพาะพืชหลักเช่นข้าวเพื่อให้เสียหายน้อยที่สุด ส่วนข้าวที่เสียหายไปแล้วได้สั่งให้เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอและเกษตรตำบล เข้าไปสำรวจความเสียหายว่าเข้าข่ายหลักเกณฑ์จ่ายเงินชดเชยให้หรือไม่สำหรับพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดน้ำกินน้ำใช้ได้สั่งการให้ระดมรถบรรทุกน้ำเข้าไปแจกจ่ายพร้อมยืนยันทำงานทุกวัน ทั้งการทำฝนเทียม การแก้ปัญหาระยะยาวได้สำรวจแหล่งน้ำทำฝายกักเก็บน้ำ ศึกษาวิธีเติมน้ำให้เขื่อนสองเขื่อนใหญ่ เพราะต้องดูแลพื้นที่เกษตรกรกว่า 10 ล้านไร่
กรมชลฯปรับแผนลดระบายน้ำ4เขื่อน
ด้านนายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า กรมชลประทานเริ่มปรับลดการระบายน้ำเขื่อนใหญ่ 4 เขื่อนลุ่มเจ้าพระยาได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เพื่อเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อความต้องการในฤดูแล้ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง 30 เมษายน 2563 เป็นเวลา 6 เดือน และต่อเนื่องถึงต้นฤดูฝนหน้าตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงกรกฎาคม 2563 อีก 3 เดือน รวมเป็น 9 เดือน
ทั้งนี้ จากสภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนานทำให้เกษตรกรที่อยู่ใกล้แม่น้ำสายหลักสูบน้ำไปใช้มาก ขณะที่กรมชลประทานจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำจากระบบชลประทาน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและพื้นที่เกษตรที่อยู่ท้ายน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนหลักลดลงกว่าแผนที่วางไว้ ซึ่งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)เกรงว่าหากหลายฤดูฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยจะเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำจึงมอบหมายให้กรมชลประทานปรับแผนลดการระบายน้ำลง ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ได้ใช้สถิติน้ำไหลลงอ่างของ 4 เขื่อนใหญ่ในปี 2558ซึ่งเป็นปีที่มีฝนน้อยมาเทียบเคียงโดยตั้งแต่วันที่ 16 กรกฏาคม-31 ตุลาคม 2558 มีน้ำไหลลงอ่างรวม 5,231ล้าน ลบ.ม.
กักให้ได้300ล.ลบ.ใช้ถึงหน้าฝนปี63
จากนั้นคาดการณ์การจัดสรรน้ำในฤดูฝนที่เหลือตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม-31ตุลาคม2562 จะมีความต้องการน้ำ 2,066ล้านลบ.ม.และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งวันที่ 1 พฤศจิกายน 62 จะคงเหลือน้ำใช้การได้ 4,904 ล้าน ลบ.ม.เมื่อคำนวณความต้องการน้ำขั้นต่ำสำหรับอุปโภคบริโภคและการรักษาระบบนิเวศ โดยไม่รวมภาคการเกษตรจะใช้ประมาณวันละ18 ล้าน ลบ.ม. หากต้องวางแผนใช้น้ำตั้งแต่เริ่มฤดูแล้งต่อเนื่องถึงต้นฤดูฝนปีหน้ารวม 9 เดือนคาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมีประมาณ 5,040 ล้านลบ.ม. เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำใช้การได้ที่เหลือ 4,904 ล้าน ลบ.ม.จึงพบว่าลุ่มเจ้าพระยายังขาดน้ำอีก136 ล้าน ลบ.ม.ซึ่งสทนช.ให้ความเห็นว่า กรมชลประทานต้องประหยัดน้ำให้ได้ไม่น้อยกว่า 300ล้านลบ.ม.กรมชลจึงปรับแผนจัดสรรน้ำใหม่ จากเดิมจะจัดสรรน้ำในลุ่มเจ้าพระยา 2,066 ล้าน ลบ.ม.ลดลงเหลือ1,766ล้านลบ.ม.
นายทองเปลวกล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมชลประทานเริ่มลดปริมาณการระบายน้ำลง โดยเขื่อนภูมิพลจากระบายวันละ23.29ล้านลบ.ม.เหลือวันละ21ล้าน ลบ.ม.เขื่อนสิริกิติ์จากระบายวันละ 19.09ล้าน ลบ.ม. เหลือวันละ18.39ล้าน ลบ.ม.เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จากระบายวันละ 700,000 ล้าน ลบ.ม. ลดเหลือวันละ 440,000 ลบ.ม.ส่วนเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนยังคงการระบายที่ 2.16 ล้าน ลบ.ม.
สัญญาณดีฝนเริ่มตกนาข้าวฟื้นตัว
“ขณะนี้ฝนเริ่มตกในหลายพื้นที่ อีกทั้งจากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมคมถึงปลายเดือนกันยายนฝนจะตกใกล้เคียงค่าเฉลี่ย ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ พื้นที่เกษตรจะชุ่มชื้นทำให้พืชสำคัญในลุ่มเจ้าพระยาคือ นาข้าวฟื้นตัว แต่จะยังส่งน้ำให้โดยวิธีจัดรอบเวรอย่างเคร่งครัด และกำหนดรอบเวรสูบน้ำของสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่ดูแลโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สูบน้ำจากแม่น้ำสายหลักให้เหมาะสม ทั้งนี้ หากทุกภาคส่วนรักษากติกาการรับน้ำและใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มั่นใจว่า จากนี้ไปจนถึงต้นฤดูฝนปี 2563 จะมีน้ำเพียงพอแน่นอน
เชียงใหม่ฝนเติมน้ำเขื่อน1ล้านลบ.ม.
ส่วนสถานการณ์ภัยแล้งหลายพื้นที่เริ่มดีขึ้น เมื่อวันเดียวกันนี้ฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักมากขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ จ.เชียงใหม่ มีฝนตกติดต่อกัน ทำให้เขื่อนใหญ่2แห่งในจ.เชียงใหม่ มีน้ำไหลเข้าเขื่อนมากกว่า1ล้านลบ.ม.ชาวนาในพื้นที่ใต้เขื่อนเริ่มนำรถไถมาปรับพื้นที่ปลูกข้าวนาปี โดยเขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ.ดอยสะเก็ด มีน้ำไหลเข้ากว่า 763,000 ลบ.ม. เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อ.แม่แตง มีปริมาณน้ำฝนไหลเข้ากว่า 248,000 ลบ.ม. ก่อนหน้านี้โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธาราระบายน้ำช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าวนาปีไปแล้ว 18ล้าน ลบ.ม.ที่เหลือจะใช้น้ำอีกประมาณ 10 ล้าน ลบ.ม. จะเริ่มระบายวันนี้ถึงวันที่ 4 สิงหาคมซึ่งเขื่อนแม่กวงอุดมธารา มีน้ำกักเก็บร้อยละ16ของความจุ มีน้ำใช้เพียง 29 ล้าน ลบ.ม.ส่วนเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มีน้ำกักเก็บเหลือร้อยละ 28
หลายจว.อีสานเฮฝนตกนาข้าวฟื้น
เช่นเดียวกับ ที่ จ.ศรีสะเกษ มีฝนตกตลอดคืนต่อเนื่องมาทั้งสัปดาห์ ทำให้พื้นที่ซึ่งเคยเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงช่วง2เดือนที่ผ่านมา นาข้าวหลายพื้นที่ใน ต.โพนข่า อ.เมืองศรีสะเกษ มีน้ำขังในนาข้าว ช่วยต้นข้าวที่กำลังจะยืนต้นตายกลับฟื้นคืนความเขียวขจีอีกครั้ง
ทั้งนี้ สถานีอุตุนิยมวิทยาศรีสะเกษรายงานว่าระยะนี้พื้นที่จังหวัดแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจะได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมเวียดนามตอนบนทำให้ จ.ศรีสะเกษและจังหวัดแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนตกเพิ่มเติม ร้อยละ 60 ของพื้นที่โดยเฉพาะ มุกดาหาร อำนาเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี