"ผอ.TIJ"เผย"นักโทษไทย"มีเกือบ4แสนคน ทำ"ล้นคุก"ต้องนอนตะแคงแบบ90องศา "กสม."จับมือ"TIJ"เร่งศึกษามาตรการลงโทษแทนการจำคุกในรายโทษไม่เกิน5ปี ใช้เทคโนโลยีจำกัดเสรีภาพ ขณะคดียาเสพติดจะแยกผู้เสพ-ค้ารายย่อยออกจากนักค้ารายใหญ่
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดงานสัมมนา เรื่อง การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดย นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า นับตั้ง แต่ปี 2555 กสม.ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการ ตรวจสอบการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนควบคู่กับการส่งเสริม สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการจับกุมคุมขังบุคคล ซึ่งในระหว่างการคุมขังนั้น บุคคลย่อมสูญเสียสิทธิในการเดินทางอย่างมีอิสระอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แม้ว่ารัฐจะมีเหตุผลในการทำให้บุคคลเสื่อมเสียอิสรภาพในรูปของโทษจำคุก ซึ่งต้องมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน และต้องมีกระบวนการปรับปรุงพฤติกรรมเพื่อเยียวยาแก้ไขให้เป็นการคืนคนดีสู่สังคม
นายวัส กล่าวอีกว่า ขณะที่ประเด็นการลงโทษทางอาญานี้ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่เพื่อยกเลิกการประหารชีวิตผู้หญิงหรือผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติด ซึ่งสำนักงานกสม.ได้เข้าไปเก็บข้อมูลจากนักโทษกลุ่มตัวอย่าง โดยสำนักงาน กสม.กระทรวงยุติธรรม และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จึงเห็นควรจัดสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ เพื่อผลักดันข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใดๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวกับการลงโทษ อาญากับหลักสิทธิมนุษยชน และเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้ หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายตระหนักถึงความสำคัญของหลักสิทธิมนุษยชน
ด้าน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า สถิติผู้ต้องขังกว่า 300,000 คน ของไทย ทำให้ไทยมีนักโทษมากเป็นลำดับที่ 6 ของโลก และมีสถิตินักโทษสูงที่สุดของประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งที่ประเทศไทยมีจำนวนประชากรกว่า 60 ล้านคน ขณะที่จีนมีประชากร 1,500 ล้านคน อินเดียที่มีประชากร 1,400 ล้านคน หรืออินโดนีเซียที่มีประชากรกว่า 200 ล้านคน ก็ยังมีจำนวนผู้ต้องขังต่ำกว่าไทย เราก้าวขึ้นเป็นแชมป์ในอาเซียนของไทย ทั้งที่เรือนจำมีขีดความสามารถในการรองรับผู้ต้องขังได้แค่ 1.2 แสนคน จำนวนนักโทษที่ใกล้แตะ 4 แสนคน จึงเกินความจุไป 2 - 3 เท่า นักโทษมีที่นอนเพียงคนละ 0.70 ตารางเมตร นอนตะแคงทั่วไปยังไม่ได้ ต้องนอนตะแคงแบบ 90 องศา
"แม้ไทยจะเป็นแชมป์ประเทศที่มีนักโทษในเรือนจำสูงที่สุดในอาเซียน แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนว่าประเทศไทยมีปัญหาอาชญากรรมที่เป็นอันตรายสูงจนน่าตกใจ ความเป็นแชมป์ของไทยจึงสะท้อนถึงปัญหาบางอย่างของกระบวนการยุติธรรม ปริมาณนักโทษที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากการแก้ไขกฎหมายยาเสพติด เปลี่ยนยาม้าเป็นยาบ้า ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดถูกส่งเข้าสู่เรือนจำ เป็นสัดส่วน 70% ของเรือนจำชาย และ 87% ในเรือนจำหญิง และในจำนวนดังกล่าว 20% เป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี นอกจากนี้ยังพบว่า 50%ของนักโทษเด็ดขาดทั้งหมด เป็นผู้ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มคดีความผิดเล็กน้อย" นายกิตติพงษ์ กล่าว
นายกิตติพงษ์ กล่าวอีกว่า งบประมาณในแต่ละปีที่รัฐต้องจ่ายให้กับกรมราชทัณฑ์ สูงถึง 12,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแยกเป็นงบฯอาหารเลี้ยงนักโทษ 8,000 ล้านบาท ขณะที่สถิตินักโทษหลังปล่อยออกมามีการกระทำผิดซ้ำสูงกว่า 30% ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะราชทัณฑ์ทำงานไม่ดี แต่ต้องยอมรับว่าปริมาณผู้ต้องขังในปี 2537 น้อยกว่าปัจจุบัน 3 เท่า ปัญหาที่เป็นระเบิดเวลาอยู่นี้ จึงไม่ใช่เรื่องของราชทัณฑ์อย่างเดียว แต่เป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ที่ส่งผลให้สังคมอาจได้รับอันตรายจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่สามารถจัดการกับอาชญากรรมได้ และอาจนำไปสู่การเสื่อมศรัทธาต่อระบบ ในปี 2543 - 2544 เราเคยแก้ปัญหานักโทษล้นเรือนจำ ทำให้จำนวนนักโทษ 240,000 คน ลดลงมาเหลือ 160,000 คน ด้วยการแยกผู้เสพเป็นผู้ป่วยนำตัวไปบำบัดรักษา แต่ต่อมาการไม่เอาจริงเอาจังในการบำบัดรักษา ไม่ผลักดันให้นโยบายสาธารณสุขเป็นตัวนำทำให้ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกกลับมาใหม่
"ต้นเหตุของโรคเรื้อรังเกิดจากวิธีคิด ที่เรายังติดอยู่กับการลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทน ทั้งที่ความผิดอาญาเป็นความผิดต่อรัฐ รัฐต้องเอาคนผิดลงมาโทษเพื่อไม่ให้ผู้อื่นทำเป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งควรทำร่วมกับการฟื้นฟูเยียวยาให้โอกาสผู้กระทำผิดให้สำนึกและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้เสียหาย รวมทั้งหาทางเยียวยาเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะทำให้ผู้เสียหายพอใจและให้อภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนอุดมคติแต่ทำได้จริง ซึ่งเราเห็นตัวอย่างแล้วจากคดีขับรถเฉี่ยวชนผู้อื่น" นายกิตติพงษ์ กล่าว
นายกิตติพงษ์ กล่าวด้วยว่า สถิติคนล้นคุกไม่ได้เกิดจากสภาพของอาชญากรรม แต่เกิดจากโครงสร้างและนโยบาย ที่ไม่สามารถแก้แบบปะผุ แต่ต้องแก้ด้วยการปรับทัศนคติว่า การลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทนอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ปัญหายาเสพติดจะต้องแยกผู้เสพและผู้ค้ารายย่อย ออกจากรายใหญ่ให้ได้ แล้วให้งานสาธารณสุขนำหน้า สำหรับคดีอาญาอื่นๆควร มีช่องทางตามกฎหมายให้ตำรวจและอัยการไกล่เกลี่ยคดีได้โดยไม่ต้องส่งต่อคดีมายังศาลทุกเรื่อง รวมทั้งแสวงหามาตรการลงโทษอื่น หรือนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้จำกัดสิทธิเสรีภาพ ส่วนการคุมประพฤติหรือการทำงานบริการสังคม ต้องไม่ใช่งานแถม แต่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่การปฏิเสธการลงโทษ แต่การลงโทษก็ต้องเหมาะสมไม่เกินเลยความผิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี