รายงานของสภาพัฒน์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ไตรมาสที่ 2/2562 ของไทยขยายตัวร้อยละ 2.3ชะลอตัวจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 1/2562 ปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศและการลดลงของภาคต่างประเทศ ด้านการผลิต ภาคเกษตรลดลงร้อยละ 1.1 จากการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาสแรก ขณะที่ภาคนอกเกษตรขยายตัวร้อยละ 2.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.9 ในไตรมาสก่อนหน้าสรุปจากตัวเลขจะเห็นทิศทางที่ชะลอตัวลงทั้งภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร
ในทางเศรษฐศาสตร์ตัวเลข GDP จะใช้เป็นเกณฑ์ในการชี้มาตรฐานในการครองชีพของประชากรในประเทศนั้น สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ตัวเลขสัดส่วน GDP ภาคการเกษตร ต่อ GDP รวมของทั้งประเทศ ตัวเลขจะไม่สูงมาก อยู่ประมาณ 1-5 เป็นส่วนใหญ่ สำหรับประเทศไทยตัวเลขสัดส่วน GDPภาคการเกษตร ปัจจุบันลดลงไปมาก น่าจะอยู่ประมาณ 10 ถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิดแต่สัดส่วนแรงงานไทย ประมาณกว่าครึ่งอยู่ในภาคการเกษตร ถ้ามองเฉพาะตัวเลข จะเห็นว่า แรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพต่ำมาก เพราะสร้างผลผลิตได้ออกมากน้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงงานที่มี ซึ่งความหมายของนักเศรษฐศาสตร์ แรงงานคือส่วนหนึ่งของทุนนั่นเอง
ด้วยมุมมองดังกล่าว ฝ่ายนโยบายจึงใช้จุดอ่อนเรื่องประสิทธิภาพต่ำ จำนวนแรงงานมีเป็นจำนวนมากกว่าครึ่ง มากำหนดนโยบายที่เอาง่ายเข้าว่า คือ ใช้ภาคการเกษตรเป็นทางผ่านของเม็ดเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ในลักษณะของการกระตุ้นการบริโภค เพราะเชื่อแน่ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ไม่เก็บเงินไปใช้เป็นทุนอย่างแน่นอน มีแต่จะนำเงินเหล่านี้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วเม็ดเงินดังกล่าวก็หมุนกลับไปสู่ทุนใหญ่ เพื่อให้ทุนใหญ่ขยายตัวใหญ่ขึ้นไปอีก สิ่งเหล่านี้คือโศกนาฏกรรมของทุนที่ไร้หัวใจ
การนำตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวมากำหนดทิศทางการพัฒนาภาคการเกษตร อาจไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ เนื่องจากภาคการเกษตร เป็นเรื่องราวของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของเกษตรกร เรื่องราวของสังคมนั้นๆ ภาคอุตสาหกรรมอาจไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเวลาเก็บผลผลิตแล้ว แต่ยังไปงานบุญกันอยู่ ไม่รีบเก็บเกี่ยวให้แล้วเสร็จ วิธีการบริหารจัดการในแต่ละพื้นที่จึงมีความแตกต่างกัน ยิ่งอายุเฉลี่ยของเกษตรกรย่างเข้าสู่หลักห้า วิธีคิดและการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นยิ่งลำบากมากขึ้น การใช้ภาคการเกษตรเป็นทางผ่านของเม็ดเงิน จึงเป็นตรรกะง่ายๆ ในการดึงแรงบริโภค เพื่อให้ GDP เติบโต
ในส่วนตัวผมมีความเห็นว่าภาคการเกษตรเป็นภาคที่ทุกภาคส่วนของสังคมมองว่าเป็นภาคที่อ่อนแอ ทั้งที่จริงแล้วสังคมใช่หรือไม่ที่ทำให้ภาคการเกษตรอ่อนแอ มองในอีกมุมหนึ่งเมื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายกลับไม่มองไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคการเกษตรตลอดห่วงโซ่ แต่มองไปที่การใส่เม็ดเงินเข้าไปในภาคการเกษตรเพื่อให้เม็ดเงินกระจายออกไป แต่ท้ายสุดแล้วกลับมารวมที่ทุนใหญ่ ทำไมนโยบายไม่มองไปที่การกระจายทุน เพื่อเพิ่มทุนให้ภาคการเกษตร ให้สามารถบริหารจัดการทุน พัฒนาระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรอย่างแท้จริง วิธีคิดสำหรับการพัฒนาภาคการเกษตรจึงไม่ใช่วิธีคิดแบบคำนวณตัวเลข แต่เป็นวิธีคิดแบบคำนวณจากความสุขแทน เพราะภาคเกษตรไม่ใช่ภาคที่อ่อนแอ แต่เป็นภาคที่ถูกทำให้อ่อนแอผมเชื่อว่าเป็นเช่นนี้
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี